องค์ภควาน คริชณะ

บทที่ 1

องค์ภควาน คริชณะ เสด็จลงมา

กาลครั้งหนึ่ง โลกใบนี้เต็มไปด้วยกองกำลังป้องกันที่ไม่จำเป็นจากกษัตริย์ต่างๆ ผู้ซึ่งอันที่จริงเป็นมาร แต่อ้างตนเองว่าอยู่ในตระกูลกษัตริย์ ขณะนั้นทั่วทั้งโลกรู้สึกหวาดกลัว เทพเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุดของโลกนี้มีนามว่าบูมิทรงเข้าพบพระพรหม ร้องเรียนถึงความหายนะที่เกิดขึ้นจากเหล่ากษัตริย์มาร บูมิมาในร่างโค มีน้ำตานองหน้า ทุกข์โศกมาก ร่ำไห้อุทธรณ์เพื่อให้พระพรหมทรงเมตตา กล่าวถึงสภาวะหายนะของโลก พระพรหมได้ยินแล้วรู้สึกทุกข์มาก ทรงเดินทางไปยังมหาสมุทรน้ำนม สถานที่ที่พระวิชณุทรงประทับอยู่ พระศิวะทรงนำเทวดาทั้งหลายร่วมไปด้วย รวมทั้งพระนางบูมิ พอมาถึงชายหาดมหาสมุทรน้ำนม พระพรหมทรงเริ่มร้องเรียนพระวิชณุ ผู้ซึ่งอดีตเคยช่วยโลกนี้ไว้ โดยเสด็จมาในร่างหมูป่าทิพย์
มันทระ พระเวท มีบทเฉพาะเรียกว่า พุรุชะ-สูคทะ โดยทั่วไปเหล่าเทวดาถวายความเคารพแด่ องค์ภควาน พระวิชณุ โดยสวดภาวนา พุรุชะ-สูคทะ ณ ที่นี้ เข้าใจว่าเทพเจ้าสูงสุดของทุกดาวเคราะห์สามารถเข้าพบพระพรหมเจ้าแห่งจักรวาลได้เมื่อมีปัญหาความไม่สงบที่ดาวเคราะห์ของตน และพระพรหมทรงเข้าเฝ้าองค์ภควานพระวิชณุ มิใช่เข้าพบโดยตรงแต่ไปยืนอยู่ที่ชายฝั่งมหาสมุทรน้ำนม มีดาวเคราะห์ในจักรวาลนี้ชื่อชเวทะดวีพะซึ่งมีมหาสมุทรน้ำนม เข้าใจจากวรรณกรรมพระเวทต่างๆ ว่า ดังเช่นมีมหาสมุทรน้ำเกลือที่โลกนี้ จะมีมหาสมุทรต่างกันที่ดาวเคราะห์ดวงอื่น บ้างมหาสมุทรน้ำนม บ้างมหาสมุทรน้ำมัน และบ้างมหาสมุทรน้ำสุรา และมหาสมุทรอื่นๆ อีกมากมาย พุรุชะ-สูคทะ เป็นบทมนต์มาตรฐานที่เหล่าเทวดาสวดภาวนาถึงองค์ภควาน คชีโรดะคะชายี-วิชณุ เนื่องจากบรรทมอยู่ที่มหาสมุทรน้ำนมจึงทรงพระนามว่า คชีโรดะคะชายี-วิชณุ ทรงเป็นองค์ภควานผู้ซึ่งอวตารทั้งหลายภายในจักรวาลนี้ทรงปรากฏออกมา
หลังจากเหล่าเทวดาถวายบทมนต์พุรุชะ-สูคทะแด่องค์ภควาน แต่ไม่ได้รับคำตอบ พระพรหมทรงนั่งสมาธิ มีสารสื่อมาจากพระวิชณุถึงพระพรหม และพระพรหมทรงประกาศสารให้เหล่าเทวดา นั่นคือระบบการรับความรู้พระเวท พระพรหมทรงเป็นองค์แรกที่ได้รับความรู้พระเวทจากองค์ภควานผ่านทางหัวใจ กล่าวไว้ในตอนต้นของ ชรีมัด-ภควธัม, เทเนบระฮมะ ฮริดา พระพรหมทรงได้รับความรู้ทิพย์แห่งพระเวทผ่านทางหัวใจ ณ ที่นี้ก็เช่นกันพระพรหมเท่านั้นที่เข้าใจสารที่สื่อมาจากพระวิชณุ และทรงประกาศให้เหล่าเทวดาเพื่อนำไปปฏิบัติทันที มีความว่า องค์ภควานจะทรงปรากฏบนโลกเร็วๆ นี้พร้อมพลังงานเบื้องสูง ขณะทรงประทับอยู่บนโลกนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจในการทำลายมารและสถาปนาสาวก เทวดาควรอยู่เพื่อช่วยพระองค์ โดยไปเกิดในราชวงศ์ยะดุทันที เพราะพระองค์จะทรงปรากฏในอนาคตอันใกล้นี้
องค์ภควาน คริชณะ ทรงปรากฏด้วยพระองค์เอง มาเป็นบุตรของวะสุเดวะ ก่อนพระองค์ปรากฏเหล่าเทวดาพร้อมมเหสีปรากฏในตระกูลผู้มีบุญต่างๆ เพื่อช่วยปฏิบัติพระภารกิจ ใช้คำว่า ทัท-พริยารทัม แปลว่าเหล่าเทวดาควรปรากฏบนโลกเพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย อีกนัยหนึ่ง ผู้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัยเรียกว่าเทพ ได้รับสารต่อไปว่า อนันทะ ภาคแบ่งแยกของคริชณะผู้ทรงอนุรักษ์ดาวเคราะห์ต่างๆ ในจักรวาลโดยกระจายพระเศียรออกเป็นล้านๆ จะทรงปรากฏบนโลกก่อนคริชณะ และพลังงานเบื้องต่ำของพระวิชณุ (มายา) ผู้ซึ่งพันธวิญญาณถูกทำให้หลง จะทรงปรากฏเพื่อปฏิบัติตามจุดมุ่งหมายขององค์ภควานด้วย
หลังจากรับสั่งและปลอบใจเหล่าเทวดารวมทั้งบูมิด้วยคำพูดหวานแล้ว พระพรหมผู้ทรงเป็นพระบิดาของมวลพระจาพะทิ บรรพบุรุษของประชากรในจักรวาล ทรงอำลาไปยังที่พำนักพรหมโลก บระฮมะโลคะ ดาวเคราะห์สูงสุดในจักรวาลวัตถุ
กษัตริย์ชูระเสนะ ผู้นำแห่งราชวงศ์ยะดุ ทรงปกครองประเทศมะทุรา (จังหวัดมะทุรา) รวมทั้งจังหวัดชูระเสนะ กษัตริย์ชูระเสนะปกครองทำให้มะทุราเป็นเมืองหลวงสำหรับกษัตริย์ทั้งหลายแห่งยะดุ มะทุราเป็นเมืองหลวงของกษัตริย์ต่างๆ แห่งราชวงศ์ยะดุ เพราะเหล่ายะดุเป็นราชวงศ์ที่มีคุณธรรม และทราบว่ามะทุราเป็นสถานที่ ชรี คริชณะ ทรงประทับอยู่นิรันดร เหมือนประทับอยู่ที่ดวาระคาเช่นกัน
กาลครั้งหนึ่งวะสุเดวะโอรสของชูระเสนะหลังจากสมรสกับพระนางเดวะคีเดินทางกลับบ้านโดยราชรถพร้อมมเหสีคู่สมรสใหม่ เดวะคะพระบิดาของเดวะคีทรงให้สินสอดมากมายเพราะรักพระธิดามาก กษัตริย์เดวะคะทรงให้ราชรถเป็นร้อยๆ คันประดับด้วยทองคำ ขณะนั้น คัมสะ โอรสอุกระเสนะ อาสาเป็นสารถีคุมบังเหียนม้าและราชรถของวะสุเดวะเพื่อเอาใจน้องสาวเดวะคี ตามธรรมเนียมพระเวทเมื่อสมรสพี่ชายจะส่งน้องสาวและน้องเขยไปที่เรือนหอ เพราะหญิงสาวแต่งงานใหม่อาจคิดถึงครอบครัว พี่ชายไปกับน้องสาวจนถึงบ้านบิดาสามี กษัตริย์เดวะคะทรงให้สินสอดดังนี้ ช้าง 400 เชือก ประดับด้วยมาลัยทองคำ ม้าพร้อมเครื่องประดับ 15,000 ตัว และราชรถ 1,800 คัน ทรงจัดสาวสวย 200 นาง ให้ติดตามพระธิดาไปด้วย ระบบการสมรสของกษัตริย์ยังปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันที่ประเทศอินเดีย กำหนดไว้ว่าเมื่อกษัตริย์สมรส เพื่อนหญิงสาวของเจ้าสาวไปที่ตำหนักของกษัตริย์ด้วย ผู้ติดตามพระราชินีเรียกว่าผู้รับใช้ อันที่จริงเป็นสหายของราชินี การปฏิบัติเช่นนี้แพร่หลายตั้งแต่อดีตกาล ย้อนไปอย่างน้อยถึงเวลาที่คริชณะเสด็จลงมาเมื่อห้าพันปีก่อน ดังนั้น วะสุเดวะทรงนำหญิงงามอีก 200 นาง พร้อมมเหสีติดตามมาด้วย
ขณะเจ้าสาวและเจ้าบ่าวนั่งบนราชรถขับผ่านตามทาง ดนตรีบรรเลงแสดงถึงเวลาอันเป็นมงคล เสียงหอยสังข์ เขาวัว กลอง และกลองหน้าเดียว รวมกันเข้าทำให้เป็นวงดนตรีไพเราะมาก ขบวนผ่านไปอย่างน่าชื่นชม คัมสะเป็นผู้ขับราชรถ ทันใดนั้นเกิดเสียงอัศจรรย์จากท้องฟ้าประกาศแด่คัมสะว่า “เจ้าคัมสะหน้าโง่ เจ้ากำลังขับราชรถให้น้องสาวและน้องเขย โดยไม่รู้ว่าบุตรคนที่แปดของน้องสาวจะเป็นผู้สังหารเจ้า”
คัมสะเป็นโอรสอุกระเสนะแห่งราชวงศ์โบจะ กล่าวว่า คัมสะเป็นมารร้ายกาจที่สุดในบรรดากษัตริย์แห่งราชวงศ์โบจะ พอได้ยินคำทำนายจากท้องฟ้า คัมสะจิกผมของเดวะคีและพร้อมสังหารนางด้วยดาบทันที วะสุเดวะตกตะลึงกับพฤติกรรมของคัมสะ น้องเขยผู้สิ้นความละอายเริ่มพูดด้วยเหตุผลและหลักฐานมากมาย เพื่อบรรเทาความโหดร้ายลง วะสุเดวะตรัสว่า “คัมสะพี่ภรรยาที่รัก พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โบจะที่มีชื่อเสียงมาก รู้กันว่าเป็นนักรบยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นกษัตริย์ผู้กล้าหาญ เหตุใดทรงโกรธมากถึงกับจะสังหารสตรีผู้เป็นน้องสาวในเวลาที่เป็นมงคลแห่งการสมรสของนาง? ทำไมกลัวตายมากนัก? ความตายเกิดขึ้นพร้อมการเกิด จากวันที่เกิดก็เริ่มตายแล้ว สมมุติว่ามีอายุยี่สิบห้าปีหมายความว่าตายไปแล้วยี่สิบห้าปี ทุกขณะทุกนาทีกำลังตาย แล้วเหตุใดจึงกลัวตายมากนัก? ตายครั้งสุดท้ายหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจตายวันนี้หรืออีกร้อยปีจากนี้ หลีกเลี่ยงความตายไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงกลัวตายมากนัก? ความตายหมายถึงทำลายร่างปัจจุบัน ทันทีที่ร่างปัจจุบันหยุดทำงานและไปผสมกับธาตุทั้งห้าแห่งธรรมชาติวัตถุ สิ่งมีชีวิตภายในร่างไปรับอีกร่างตามกรรมและผลกรรมของร่างปัจจุบัน เหมือนคนเดินบนถนน เมื่อวางเท้าลงและมั่นใจว่าเท้าอยู่บนพื้นที่แข็งแรงพอก็จะยกเท้าอีกข้างหนึ่ง เช่นนี้เดินไปได้เรื่อยๆ ร่างกายเปลี่ยนแปลงและดวงวิญญาณผ่านออกจากร่างเดิม ดูตัวหนอนที่เคลื่อนย้ายจากกิ่งไม้หนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งด้วยความระมัดระวัง! เช่นเดียวกัน สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนร่างทันทีที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าตัดสินร่างต่อไปให้ว่าจะเป็นอะไร ตราบที่สิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาวะของโลกวัตถุนี้ จะต้องได้รับร่างวัตถุร่างแล้วร่างเล่า ร่างต่อไปได้รับมาโดยกฎแห่งธรรมชาติ ตามการกระทำและผลของการกระทำในชีวิตนี้
“ร่างนี้เหมือนอีกหลายร่างที่เห็นในฝันเสมอ ในฝันขณะนอนหลับ เราสร้างหลายร่างตามจินตนาการของจิต เราเห็นทองคำและเห็นภูเขา ในฝันเราจะเห็นภูเขาทองคำ โดยรวมความคิดทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน บางครั้งในฝันเราเห็นว่ามีร่างบินไปในอากาศ ขณะนั้นเราลืมร่างปัจจุบันโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกัน ร่างเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อได้ร่างใหม่มาจะลืมร่างในอดีต ในขณะฝันเราอาจมาสัมผัสกับร่างใหม่ๆ หลายร่าง แต่เมื่อตื่นขึ้นเราลืมไปทั้งหมด อันที่จริง ร่างวัตถุเหล่านี้เป็นการสร้างของกิจกรรมทางจิต แต่ในปัจจุบันไม่สามารถรำลึกถึงร่างในอดีตของเราได้
“ธรรมชาติของจิตเปลี่ยนแปลงเสมอ บางครั้งยอมรับบางสิ่งและก็ปฏิเสธในสิ่งเดียวกันทันที การยอมรับและปฏิเสธเป็นวิธีกรรมของจิตที่มาสัมผัสกับอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส เช่นรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ในเชิงคาดคะเน จิตใจมาสัมผัสกับอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส เมื่อสิ่งมีชีวิตต้องการร่างเฉพาะก็ได้รับมันมา ดังนั้น ร่างกายได้มาจากกฎแห่งธรรมชาติวัตถุ สิ่งมีชีวิตยอมรับร่างกายและมาในโลกวัตถุอีกครั้งเพื่อรับสุขหรือทุกข์ตามโครงสร้างของร่างกาย นอกจากมีร่างเฉพาะ มิฉะนั้นจะไม่สามารถได้รับสุขหรือทุกข์ตามที่จิตเอนเอียงชอบมาจากชาติก่อน ร่างที่ได้มาเฉพาะนี้ ให้เรามาตามสภาวะจิตขณะตาย
“ดาวเคราะห์ที่มีรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ที่สะท้อนตนเองได้ในอ่างใส่ของเหลว เช่น น้ำ น้ำมัน หรือเนยใส ภาพสะท้อนเคลื่อนตามการเคลื่อนไหวของ ของเหลวนั้นๆ ภาพสะท้อนของดวงจันทร์อยู่ในน้ำ น้ำที่เคลื่อนทำให้ดวงจันทร์ดูเหมือนเคลื่อนที่ด้วย แต่อันที่จริงดวงจันทร์มิได้เคลื่อนไหวเลย ทำนองเดียวกัน จากการอุปโลกน์ขึ้นของจิต สิ่งมีชีวิตจึงได้รับร่างกายต่างๆ กัน แม้อันที่จริง ตัวเขาไม่มีความสัมพันธ์กับร่างกายเหล่านี้เลย เนื่องมาจากความหลงที่ได้รับอิทธิพลจากมายา ทำให้หลง สิ่งมีชีวิตจึงคิดว่าตนเองเป็นของร่างกายเฉพาะนี้ นี่คือวิถีทางของพันธชีวิต สมมติว่าปัจจุบันนี้สิ่งมีชีวิตมีร่างมนุษย์ เขาคิดว่าตนเองเป็นของสังคมมนุษย์ หรือว่าเป็นของประเทศนั้นประเทศนี้ หรือที่นั้นที่นี้ เขาแสดงตนไปเช่นนั้น และเตรียมตัวเพี่อได้ร่างใหม่โดยไม่จำเป็น ซึ่งตนเองมิได้ต้องการ ความต้องการเช่นนี้และการอุปโลกน์ขึ้นของจิตนี้เป็นเหตุแห่งร่างกายต่างๆ ที่ได้รับ อิทธิพลของธรรมชาติที่ปกคลุมวัตถุแข็งแรงมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตพึงพอใจไม่ว่าร่างใดที่ได้รับและแสดงตนเองกับร่างนั้นด้วยความสุขอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ข้าขอร้องพระองค์ว่าไม่ควรเต็มตื้นไปกับการบงการของจิตใจและร่างกาย”
ดังนั้น วะสุเดวะ ขอร้องคัมสะว่าอย่าอิจฉาน้องสาวที่เพิ่งสมรส เราไม่ควรอิจฉาผู้ใด เพราะความอิจฉาเป็นต้นกำเนิดของความกลัวทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเมื่อมาอยู่ต่อหน้ายมราช วะสุเดวะอุทธรณ์ต่อคัมสะแทนเดวะคี กล่าวว่านางเป็นน้องสาวและขอร้องช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลคือวันแต่งงาน น้องสาวหรือน้องชายควรได้รับการปกป้องคุ้มครองเหมือนบุตร “สถานการณ์ทั้งหมดละเอียดอ่อนมาก” วะสุเดวะให้เหตุผลว่า “หากสังหารนางจะทำให้ชื่อเสียงอันสูงส่งของพระองค์เสื่อมเสียลง”
วะสุเดวะพยายามปลอบประโลมคัมสะด้วยคำสอนที่ดี และแยกแยะตามหลักปรัชญา แต่คัมสะไม่รู้สึกสงบลงเพราะไปคบหากับพวกมาร เนื่องจากคบหากับมารทำให้ตนเป็นมารด้วย แม้เกิดในตระกูลกษัตริย์ที่สูง มารไม่ใยดีกับคำสอนที่ดี เราอาจสอนหลักศีลธรรมให้โจรผู้ดื้อรั้นแต่จะไม่เกิดผล เช่นเดียวกัน พวกมารหรือผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน โดยธรรมชาติจะซึมซับคำสอนที่ดีได้ยากมากไม่ว่าเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างเทพและมาร พวกที่ยอมรับคำสั่งสอนที่ดีและพยายามนำไปปฏิบัติในชีวิตเรียกว่าเทพ และพวกที่ไม่รับเอาคำสั่งสอนที่ดีเรียกว่ามาร หลังจากพยายามทำให้คัมสะสงบลงไม่สำเร็จ วะสุเดวะคิดว่าจะปกป้องมเหสีเดวะคีได้อย่างไร เมื่อมีอันตรายเฉพาะหน้า ผู้มีปัญญาจะพยายามหลีกเลี่ยงสภาวะอันตรายให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แม้หากพยายามด้วยสติปัญญาทั้งหมดแล้วยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้ จะไม่มีความผิด เราควรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่หากความพยายามนั้นไม่สำเร็จ ก็ไม่มีความผิดอันใด
วะสุเดวะคิดถึงมเหสีดังนี้ “ตอนนี้ให้ข้ารักษาชิวิตของเดวะคีไว้ก่อน ต่อมาหากมีลูก ค่อยดูว่าจะช่วยชีวิตพวกเขาได้อย่างไร” ทรงคิดต่อไปอีกว่า “หากในภายภาคหน้าข้ามีลูกที่จะมาสังหารคัมสะเหมือนดังที่คัมสะกำลังคิดอยู่ ตรงนั้นทั้งเดวะคีและลูกน้อยจะปลอดภัย เพราะว่ากฎแห่งสวรรค์ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันให้ข้าช่วยชีวิตเดวะคีไว้ก่อน”
ไม่แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับร่างกายได้อย่างไร เหมือนไม่แน่นอนว่าไฟลุกโหมขึ้นกับไม้ในป่าได้อย่างไร พอเกิดไฟป่าเราพบว่า ไฟป่าบางครั้งข้ามจากต้นไม้ต้นหนึ่งและไปติดอีกต้นด้วยแรงลม ทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตอาจระวังและกลัวในการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ยากที่จะรู้ว่าร่างกายที่จะได้รับในชาติหน้าเป็นอะไร มะฮาราจะ บะระทะ ทรงมีความศรัทธามากในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความรู้แจ้งแห่งตน แต่บังเอิญไปเกิดรักกวางน้อยชั่วขณะ พระองค์ทรงต้องได้รับร่างกวางในชาติต่อมา
วะสุเดวะ หลังจากพิจารณาว่าจะช่วยมเหสีได้อย่างไร เริ่มพูดกับคัมสะด้วยความเคารพอย่างสูง แม้คัมสะเป็นคนบาปที่สุด บางครั้งจะเห็นว่าคนดีที่สุดเช่น วะสุเดวะ จำต้องประจบยกยอคนเช่นคัมสะซึ่งเป็นคนเลวที่สุด นั่นคือวิธีเจรจาทางการทูต แม้วะสุเดวะมีความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้ง แต่ภายนอกแสดงออกว่าดีใจ ตรัสกับคัมสะผู้ไร้ยางอายเช่นนี้ เพราะคัมสะมีความโหดร้ายมาก วะสุเดวะตรัสว่า “พี่ภรรยาที่รัก กรุณาพิจารณาว่าพระองค์ไม่มีอันตรายจากน้องสาว ที่รออันตรายอยู่เพราะได้ยินเสียงคำทำนายจากท้องฟ้า แต่อันตรายจะมาจากบุตรของน้องสาวซึ่งปัจจุบันนี้ยังไม่ปรากฏ แล้วใครจะไปรู้ว่าอาจมีหรือไม่มีบุตรในอนาคตก็ได้ พิจารณาทั้งหมดนี้แล้ว ปัจจุบันนี้มีความปลอดภัยและไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวจากน้องสาว หากน้องสาวเกิดมีบุตร ข้าสัญญาว่าจะนำบุตรทุกคนมาให้ท่านลงมือทำไปตามความจำเป็น”
คัมสะรู้ถึงคุณค่าแห่งสัจจะของวะสุเดวะ และมั่นใจกับการถกเถียงครั้งนี้ บัดนี้ คัมสะยกเลิกความตั้งใจที่จะสังหารน้องสาวอย่างไร้ความปราณี ทำให้วะสุเดวะมีความสุขและสรรเสริญการตัดสินใจของคัมสะ ดังนั้น จึงกลับบ้านไป
หลังจากเวลาผ่านล่วงเลยไป วะสุเดวะและเดวะคีให้กำเนิดบุตรแปดองค์และธิดาหนึ่งองค์ พอบุตรองค์โตเกิด วะสุเดวะรักษาสัจจะโดยส่งบุตรแก่คัมสะทันที กล่าวว่า วะสุเดวะเจริญและมีชื่อเสียงมากในสัจจะและประสงค์จะรักษาชื่อเสียงนี้ไว้ แม้เจ็บปวดมากที่ต้องส่งบุตรเกิดใหม่ให้คัมสะ คัมสะดีใจมากที่ได้รับเด็ก แต่รู้สึกสงสารขึ้นมาเล็กน้อยในการกระทำของวะสุเดวะ เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างดีมาก สำหรับดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่เช่นวะสุเดวะ ไม่พิจารณาว่ามีอะไรน่าเจ็บปวดในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้มีความรู้เช่นวะสุเดวะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่กังวล อีกด้านหนึ่ง มารเช่นคัมสะไม่วิตกในการกระทำสิ่งเลวร้าย ดังนั้น กล่าวว่านักบุญสามารถทนต่อสภาวะชีวิตที่ลำบากมาก ผู้มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่ต้องรอให้สถานการณ์เอื้ออำนวย คนชั่วร้ายเช่นคัมสะสามารถทำบาปได้ทุกวิธี และสาวกสามารถถวายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย
คัมสะพอใจในการกระทำของวะสุเดวะ รู้สึกแปลกใจที่เห็นวะสุเดวะรักษาคำมั่นสัญญา มีความสงสาร ยินดี และกล่าวว่า “วะสุเดวะที่รัก ไม่ต้องส่งทารกน้อยนี้แก่ข้า ข้าจะไม่ได้รับอันตรายจากเด็กคนนี้ ได้ยินว่าบุตรองค์ที่แปดของท่านและเดวะคีจะสังหารข้า แล้วทำไมรับเด็กคนนี้มาโดยไม่จำเป็น? พาเขากลับไปได้แล้ว”
เมื่อวะสุเดวะกลับมาถึงบ้านพร้อมบุตรชายคนโต แม้ดีใจในการกระทำของคัมสะ ทรงไม่เชื่อเพราะรู้ดีว่าคัมสะควบคุมตนเองไม่ได้ ผู้ไม่เชื่อในองค์ภควานจะไม่มั่นคงในสัจจะ ผู้ควบคุมประสาทสัมผัสไม่ได้จะไม่แน่วแน่ในความตั้งใจ ชาณัคยะ พัณดิทะ นักการเมืองผู้ยอดเยี่ยม กล่าวว่า “จงอย่าเชื่อนักการทูตหรือผู้หญิง” พวกที่เสพติดกับการสนองประสาทสัมผัสอย่างไร้กฎเกณฑ์จะไม่มีสัจจะ และเชื่อไม่ได้
ขณะนั้น สาวกผู้ยอดเยี่ยม นาระดะ มาพบคัมสะ ได้ข่าวว่าคัมสะมีความเมตตาต่อวะสุเดวะโดยส่งบุตรชายคนโตคืนไป นาระดะกระตือรือร้นจะเร่งให้คริชณะเสด็จลงมาโดยเร็วสุดเท่าที่จะเร็วได้ ดังนั้น จึงบอกกับคัมสะว่า บุคลิกภาพเช่น นันดะ มะฮาราจะ ชายหญิงเลี้ยงโคและภรรยาของชายเลี้ยงโคที่วรินดาวะนะ และอีกด้านหนึ่ง วะสุเดวะพร้อมทั้งพระบิดาชูระเสนะ และญาติๆ ทั้งหลายที่เกิดในครอบครัววริชณิแห่งราชวงศ์ยะดุ เตรียมตัวเพื่อให้องค์ภควานทรงปรากฏ นาระดะเตือนคัมสะให้ระวังเพื่อนๆ ผู้ปรารถนาดี และเหล่าเทวดาที่เกิดในตระกูลเหล่านี้ คัมสะรวมทั้งเพื่อนๆ และผู้ให้คำแนะนำทั้งหมดเป็นมาร มารกลัวเทพเสมอ หลังจากนาระดะบอกเกี่ยวกับการปรากฏของเหล่าเทวดาในตระกูลต่างๆ คัมสะเตรียมพร้อมทันที เข้าใจว่าเนื่องจากเหล่าเทวดาได้เกิดมาแล้ว พระวิชณุต้องเสด็จมาในเร็วๆนี้ คัมสะจึงจับทั้งน้องเขยวะสุเดวะและน้องสาวเดวะคีให้มาอยู่ที่คุมขังของตนทันที
ภายในที่จองจำ วะสุเดวะและเดวะคีถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน และให้กำเนิดเด็กชายปีแล้วปีเล่า คัมสะคิดว่าเด็กแต่ละคนเป็นอวตารของพระวิชณุ จึงสังหารเด็กทุกคนที่เกิด กลัวโดยเฉพาะเด็กคนที่แปด แต่หลังจากนาระดะมาเยี่ยม คัมสะสรุปว่าเด็กคนไหนอาจเป็นคริชณะก็ได้ จึงสังหารเด็กทั้งหมดที่เดวะคีและวะสุเดวะให้กำเนิด
การกระทำของคัมสะเช่นนี้มิใช่สิ่งที่เข้าใจยาก มีตัวอย่างมากมายในประวัติ ศาสตร์โลกเกี่ยวกับบุคคลในตระกูลกษัตริย์ที่ฆ่าบิดา พี่ชาย น้องชาย หรือฆ่าทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ เพื่อให้ความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนสัมฤทธิ์ผล ไม่น่าแปลกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมารฆ่าใครก็ได้เพื่อสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงอันชั่วร้ายของตน
ด้วยพระกรุณาธิคุณของนาระดะทำให้คัมสะระลึกถึงอดีตชาติได้ คัมสะเรียนรู้ว่าชาติก่อนตนเป็นมารชื่อ คาละเนมิ ถูกพระวิชณุสังหาร ชาตินี้เมื่อเกิดมาในราชวงศ์โบจะ จึงตัดสินใจมาเป็นศัตรูอันร้ายกาจของราชวงศ์ยะดุที่คริชณะจะมาประสูติ คัมสะกลัวมาก กลัวจะถูกคริชณะสังหารเหมือนชาติก่อน
ก่อนอื่นคัมสะกักขังบิดาของตน อุกระเสนะ เพราะทรงเป็นผู้นำกษัตริย์ในหมู่ราชวงศ์ยะดุ โบจะ และอันดะคะ คัมสะเข้ายึดครองเมืองของชูระเสนะ ผู้เป็นพระบิดาของวะสุเดวะ และประกาศตนเป็นเจ้าเมืองทั้งหลายเหล่านี้
ดังนั้น ขอจบคำอธิบายโดย บัคธิเวดันธะ หนังสือ “องค์ภควาน คริชณะ”
บทที่หนึ่ง “องค์ภควาน คริชณะ เสด็จลงมา”