องค์ภควาน คริชณะ
บทที่ 13
พระพรหมลักพาเด็กๆ และลูกโค
ชุคะเดวะ โกสวามี ยินดีมากเมื่อ มะฮาราจะ พะรีคชิท ทรงถามว่า ทำไมเด็กเลี้ยงโคไม่พูดถึงความตายของอักฮาสุระจนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ท่านอธิบายดังนี้ “กษัตริย์ที่รักของข้า คำถามเช่นนี้ทำให้เรื่องราวลีลาทิพย์ของคริชณะสดชื่นขึ้น”
กล่าวว่าเป็นธรรมชาติของสาวกที่ใช้จิตใจ พลังงาน คำพูด หู ฯลฯ สดับฟังและภาวนาเกี่ยวกับคริชณะเสมอ เช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึก สำหรับผู้ปลาบปลื้มในการสดับฟังและภาวนาคริชณะ เรื่องราวจะไม่น่าเบื่อ ไม่เป็นเรื่องเก่า นั่นคือจุดสำคัญของเรื่องราวทิพย์ที่ตรงข้ามกับเรื่องวัตถุ เรื่องราววัตถุน่าเบื่อ ไม่มีผู้ใดรับฟังเรื่องเดียวกันได้นาน ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับเรื่องราวทิพย์เรียกว่า นิทยะ-นะวะ-นะวายะมานะ หมายความว่า เราสามารถภาวนาและสดับฟังเกี่ยวกับองค์ ภควาน โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่จะสดชื่นและกระตือรือร้นที่จะสดับฟังมากยิ่งขึ้น
เป็นหน้าที่ของพระอาจารย์ทิพย์ที่จะเปิดเผยส่วนลับของเรื่องราวทั้งหลายแก่สาวกผู้จริงใจใคร่รู้ ดังนั้น ชุคะเดวะ โกสวามี เริ่มอธิบายว่า ทำไมการสังหารมารอักฮาสุระเปิดเผยหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ชุคะเดวะ โกสวามี กล่าวว่า “จงฟังความลับนี้โดยตั้งใจ หลังช่วยเพื่อนๆ จากปากอักฮาสุระและสังหารมันแล้ว คริชณะทรงพาเพื่อนๆ ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำยะมุนา บอกว่า เพื่อนรักดูสิ ตรงนี้สวยงามมากสำหรับทานอาหารกลางวันและเล่นทรายนุ่มที่ริมฝั่งแม่น้ำยะมุนา เห็นดอกบัวในนำที่บานสะพรั่งสวยงามไหม? ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว นกส่งเสียงร่าเริง พร้อมกับนกยูงที่กู่เสียงร้อง รายล้อมไปด้วยเสียงกระซิบจากใบไม้บนต้น รวมกันเข้าทำให้เกิดเสียงประสาน และทำให้ทัศนียภาพจากต้นไม้ ณ ที่นี้สวยงามมากยิ่งขึ้น พวกเราทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ สายแล้วคงจะหิวกัน ปล่อยให้ลูกวัวอยู่ใกล้ๆ ดื่มนำที่แม่น้ำยะมุนาขณะที่เราทานอาหาร ลูกวัวอาจเล็มหญ้าอ่อนบริเวณนี้ ่”
ได้ยินข้อเสนอของคริชณะ เด็กทั้งหมดรู้สึกดีใจและกล่าวว่า “แน่นอน พวกเรามานั่งทานอาหารกลางวันที่นี่กันเถิด” จากนั้น เด็กๆ ปล่อยลูกวัวให้ไปกินหญ้าอ่อน แล้วนั่งลงบนพื้นให้คริชณะนั่งอยู่ตรงกลาง เริ่มเปิดกล่องอาหารที่ต่างคนนำมาจากบ้าน ชรี คริชณะ นั่งอยู่กลางวง เด็กเลี้ยงโคทั้งหมดหันหน้าเข้าหาคริชณะ ทานอาหารและชื่นชมยินดีที่มองเห็นดวงหน้าขององค์ภควานตลอดเวลา คริชณะดูเหมือนเป็นศูนย์กลางของดอกบัว พวกเด็กชายที่อยู่รอบๆ เหมือนกลีบดอกบัว เด็กๆเก็บดอกไม้ กลีบดอกไม้ และเปลือกไม้มาวางใต้กล่องอาหาร เริ่มทานอาหารกลางวันร่วมกับคริชณะ ขณะที่รับประทานอาหารกันอยู่ เด็กแต่ละคนเริ่มแสดงความสัมพันธ์ต่างๆ กับคริชณะ รื่นเริงซึ่งกันและกันด้วยคำพูดตลก ขณะที่คริชณะมีความสุขกับอาหารกลางวันอยู่กับเพื่อนๆ ทรงเหน็บขลุ่ยให้เข้าไปอยู่ในเข็มขัด เขาวัวและไม้เลี้ยงวัวเหน็บอยู่ข้างซ้าย ถือก้อนอาหารที่ทำด้วยโยเกิร์ต เนย ข้าว และสลัดผลไม้อยู่ในมือซ้าย ซึ่งสามารถมองผ่านง่ามนิ้วมือคล้ายกลีบดอกบัว องค์ภควานผู้ทรงยอมรับผลแห่งการถวายบูชาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย หัวเราะขบขันรื่นเริงไปกับอาหารกลางวันที่วรินดาวะนะ ดังนั้น เหล่าเทวดามองดูทัศนียภาพนี้จากสวรรค์ สำหรับเด็กๆ ได้แต่รื่นเริงไปกับความปลื้มปีติสุขทิพย์ที่มาอยู่ร่วมกับองค์ภควาน
ขณะนั้น ลูกวัวอยู่ที่ทุ่งหญ้าใกล้ๆ เดินเข้าไปในป่าลึกด้วยเสน่ห์ของหญ้าใหม่และค่อยๆ หายลับไปจากสายตา พอเด็กๆ รู้ว่าลูกวัวไม่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น รู้สึกกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยจึงร้องเรียก“คริชณะ!” คริชณะเป็นผู้สังหารบุคลิกภาพแห่งความกลัว ทุกคนกลัวบุคลิกภาพแห่งความกลัว แต่บุคลิกภาพแห่งความกลัวกลัวคริชณะ เมื่อร้องเรียก“คริชณะ” เด็กๆ ข้ามพ้นสภาวะแห่งความกลัวทันที ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่คริชณะมีต่อเพื่อนๆ ไม่ปรารถนาให้เพื่อนหยุดทานอาหารกลางวันอย่างมีความสุขและต้องไปตามหาลูกวัว ดังนั้น ตรัสว่า “เพื่อนๆ ที่รักของข้า พวกเธอไม่จำเป็นต้องหยุดรับประทานอาหารกลางวัน จงมีความสุขกันต่อไป ข้าจะไปตามหาลูกวัวเอง” คริชณะเริ่มเดินตามหาลูกวัวในถ้ำ ในป่า หาจนทั่วแต่ไม่พบ
ขณะที่อักฮาสุระถูกสังหาร เหล่าเทวดามองดูเหตุการณ์ด้วยความประหลาดใจยิ่ง พระพรหมผู้ประสูติจากดอกบัวที่ผลิมาจากพระนาภีของพระวิชณุมาดูด้วยเช่นกัน ทรงรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันว่า เด็กชายตัวเล็กๆ เยี่ยงคริชณะสามารถทำอะไรที่อัศจรรย์ แม้ได้ข่าวว่าเด็กเลี้ยงวัวคนนี้คือองค์ภควาน พระพรหมอยากเห็นลีลาอันน่าสรรเสริญมากกว่านี้ จึงลักพาลูกวัวและเด็กเลี้ยงวัวทั้งหมดไปไว้ที่อื่น หลังจากตามหาลูกวัวจนทั่วแต่ไม่พบ คริชณะกลับมาสถานที่นั่งทานอาหารริมฝั่งแม่น้ำยะมุนาเพื่อนๆเด็กเลี้ยงวัวหายไปหมด คริชณะในรูปเด็กเลี้ยงวัวตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพระพรหม แต่เป็นองค์ภควานทรงเข้าใจทันทีว่า ลูกวัวและเด็กเลี้ยงวัวทั้งหมดถูกพระพรหมลักพาไป คิดว่า “พระพรหมได้ลักพาเด็กเลี้ยงวัวและลูกวัวไปทั้งหมด ข้าจะกลับไปวรินดาวะนะคนเดียวได้อย่างไร พวกพ่อแม่คงจะเศร้าโศกเสียใจ!”
ฉะนั้น เพื่อให้เหล่ามารดาของเพื่อนๆ พอใจ พร้อมให้พระพรหมมั่นใจในพลังอำนาจสูงสุดขององค์ภควาน คริชณะทรงแบ่งภาคให้มาเป็นเด็กเลี้ยงวัวและลูกวัวทั้งหมดทันที คัมภีร์พระเวทกล่าวว่าองค์ภควานทรงแบ่งภาคมาเป็นสิ่งมีชีวิตมากมายด้วยพลังงานของพระองค์ ดังนั้น ไม่ยากที่จะแบ่งภาคอีกครั้งให้มาเป็นเด็กๆ และลูกวัว คริชณะทรงแบ่งภาคเหมือนกับเด็กทุกคน เด็กแต่ละคนมีลักษณะไม่เหมือนกัน หน้าตา โครงสร้างร่างกาย การแต่งตัว เครื่องประดับ ความประพฤติ และกิจกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อีกนัยหนึ่ง ทุกคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน ในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล แต่ละคนมีกิจกรรมและความประพฤติแตกต่างกันไปหมด ดังนั้น คริชณะทรงแบ่งภาคให้อยู่ในลักษณะที่ไม่เหมือนกันของเด็กแต่ละคน และมาเป็นลูกวัวที่มีขนาด รูปร่าง สีสัน กิจกรรม ฯลฯ ที่แตกต่างกันด้วย เป็นเช่นนี้ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือการแบ่งภาคแห่งพลังงานของคริชณะ ใน วิชณุ พุราณะ กล่าวว่า พะรัสยะ บระฮมะณะฮ ชัคทิฮ ทุกสิ่งที่เราเห็นจริงปรากฏอยู่ในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต เป็นการแบ่งภาคแห่งพลังงานขององค์ภควาน ดังเช่น ความร้อนและแสงเป็นการแบ่งภาคที่แตกต่างกันของไฟ
เมื่อแบ่งภาคมาเป็นเด็กชายและลูกวัวตามศักยภาพของแต่ละชีวิต คริชณะทรงเดินเข้าไปในหมู่บ้านวรินดาวะนะรายล้อมไปด้วยภาคแบ่งแยกของพระองค์ ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้น หลังจากเข้าไปที่หมู่บ้านวรินดาวะนะแล้ว ลูกวัวต่างเข้าไปในคอก และเด็กๆ เข้าไปในบ้านหาแม่ของตน
มารดาของเด็กๆ ได้ยินเสียงขลุ่ยก่อนที่เด็กจะเข้ามา จึงไปรับ พอออกมาจากบ้านโอบกอดลูกๆด้วยความรักฉันแม่ที่มีต่อลูก ทำให้นมไหลออกมาจากเต้าต้องป้อนให้เด็กดูดทันที การป้อนนมครั้งนี้มิได้ป้อนให้ลูกของตนเอง แต่ถวายให้องค์ภควานผู้แบ่งภาคมาเป็นเด็กๆ นี่เป็นอีกโอกาสหนึ่งของเหล่ามารดาที่วรินดาวะนะได้เลี้ยงดูองค์ภควานด้วยนมของตนเอง ฉะนั้น คริชณะไม่เพียงแต่ให้โอกาสยะโชดาเลี้ยงดูพระองค์เท่านั้น คราวนี้ยังเปิดโอกาสให้เหล่าโกปีอาวุโสป้อนนมให้พระองค์ด้วย
เด็กๆ ทั้งหมดเริ่มมีความสัมพันธ์กับมารดาตามปกติ เหล่ามารดาก็เช่นเดียวกัน พอตกเย็นอาบน้ำให้เด็กๆ ประดับด้วยทิละคะ และเครื่องประดับ ให้อาหารที่จำเป็นหลังจากทำงานมาทั้งวัน ฝูงวัวก็เช่นกัน ไปอยู่ในทุ่งหญ้าทั้งวันกลับมาในตอนเย็นเริ่มเรียกหาลูกวัว ลูกวัววิ่งไปหาแม่วัว แม่วัวเริ่มเลียตามร่างกายของลูกวัว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่วัวกับลูกวัวและโกปีกับเด็กๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ไม่ใช่ลูกวัวและเด็กตัวจริง อันที่จริง ความรักระหว่างแม่วัวกับลูกวัว โกปีอาวุโสกับเด็กๆ เพิ่มพูนแบบไม่มีเหตุผล เพิ่มพูนขึ้นโดยธรรมชาติแม้ว่าลูกวัวและเด็กไม่ใช่ลูกแท้ แม่วัวและโกปี ที่วรินดาวะนะรักคริชณะมากกว่าลูกของตนเอง หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ความรักที่มีต่อลูกๆ เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเหมือนที่พวกเขารักคริชณะ เป็นเวลาหนึ่งปีที่คริชณะทรงแบ่งภาคมาเป็นลูกวัวและเด็กเลี้ยงวัวปรากฏอยู่ที่ทุ่งหญ้า
กล่าวใน ภควัต-คีตา ว่าภาคที่แบ่งแยกของคริชณะสถิตในหัวใจของทุกชีวิตในรูปอภิวิญญาณ ลักษณะเดียวกัน แทนที่จะแบ่งภาคมาเป็นอภิวิญญาณ ทรงแบ่งภาคให้เป็นส่วนของลูกวัวและเด็กเลี้ยงวัวเป็นเวลาหนึ่งปีอย่างต่อเนื่อง
วันหนึ่ง คริชณะและบะละรามะกำลังดูแลลูกวัวอยู่ในป่า เห็นแม่วัวกำลังเล็มหญ้าอยู่บนภูเขาโกวารดะนะ แม่วัวมองลงมาระหว่างภูเขาที่เด็กๆ เลี้ยงลูกวัวกันอยู่ พอเห็นลูกวัว แม่วัวรีบวิ่งลงมาทันที กระโจนลงมาจากภูเขาทั้งขาหน้าและขาหลัง เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อลูกของมันจนไม่สนใจกับทางที่ขรุขระจากบนเขาโกวาร ดะนะลงมาถึงทุ่งหญ้าข้างล่าง พวกแม่วัววิ่งเข้าหาลูกวัวพร้อมน้ำนมเต็มเต้า วิ่งจนหางชี้ฟ้า พอลงมาถึงเชิงเขา นมจากเต้าไหลลงพื้นเพราะความรักในฐานะแม่ที่มีต่อลูก แม้ลูกวัวฝูงนี้ไม่ใช่ลูกจริงของตน แม่วัวฝูงนี้มีลูกวัวของตนเอง ลูกวัวที่เล็มหญ้าอยู่เชิงเขาโกวารดะนะตัวใหญ่กว่าไม่คาดว่าจะดื่มนมจากเต้าโดยตรง แต่พอใจกับหญ้า ถึงกระนั้น แม่วัวทั้งหมดลงมาทันที เริ่มเลียร่างลูกวัว ลูกวัวเริ่มดูดนมจากเต้าของแม่วัว ดูเหมือนว่าพวกมันมีสายใยแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างแม่วัวกับลูกวัว
พอแม่วัววิ่งลงมาจากภูเขาโกวารดะนะ ชายเลี้ยงวัวผู้ดูแลแม่วัวพยายามห้าม ผู้ใหญ่ดูแลแม่วัวและเด็กดูแลลูกวัว เท่าที่เป็นไปได้พยายามแยกลูกวัวจากแม่วัว เพื่อลูกวัวจะไม่ดื่มนมหมด ฉะนั้น ชายผู้ดูแลแม่วัวบนภูเขาโกวารดะนะพยายามห้ามแม่วัวไม่ให้ลงมา แต่ทำไม่สำเร็จ เมื่อทำไม่สำเร็จ รู้สึกละอายและโกรธ ไม่มีความสุข แต่พอชายเลี้ยงวัวลงมาข้างล่างเห็นเด็กๆ ที่ดูแลลูกวัวอยู่ ทั้งหมดรู้สึกมีความรักต่อเด็กๆ ขึ้นมาทันทีอย่างน่าประหลาดใจ แม้ชายเลี้ยงวัวลงมาข้างล่างด้วยความไม่พอใจ ผิดหวัง และโมโห แต่ทันทีที่เห็นลูกๆ ของตน หัวใจเต็มไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง ทันใดนั้น ความโกรธ ไม่พอใจ และความทุกข์มลายหายไปสิ้น พวกชายเลี้ยงวัวเริ่มแสดงความรักฉันพ่อที่มีต่อลูก ด้วยความรักอันสุดซึ้ง อุ้มเด็กๆ มาอยู่ในอ้อมแขนและโอบกอด ชายเลี้ยงวัวหอมศีรษะเด็กๆ และรื่นเริงที่อยู่ร่วมกันด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่ หลังจากโอบกอดเด็กๆแล้ว ชายเลี้ยงวัวนำแม่วัวกลับขึ้นไปบนภูเขาโกวารดะนะ ระหว่างทางเริ่มคิดถึงเด็กๆ และน้้ำตาแห่งความรักไหลพรากออกมาจากดวงตา
บะละรามะเห็นการแลกเปลี่ยนความรักระหว่างแม่วัวกับลูกวัว ระหว่างพ่อกับลูกที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ โดยที่ลูกวัวและเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลมากเช่นนี้ สงสัยว่าสิ่งไม่ธรรมดาเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างไร รู้สึกประหลาดใจที่เห็นชาววรินดาวะนะทั้งหลายมีความรักลูกของตนมากยิ่งนัก เหมือนที่มีความรักต่อคริชณะ เช่นเดียวกัน แม่วัวก็รักลูกวัวมากเท่ากับรักคริชณะ ดังนั้น บะละรามะสรุปว่า การแสดงออกของความรักที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ เป็นสิ่งเร้นลับ หากไม่ใช่พวกเทวดาต้องเป็นมนุษย์ผู้มีพลังอำนาจมากเป็นผู้ทำ มิฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? บะละรามะสรุปว่าการเปลี่ยนแปลงอันเร้นลับนี้ คริชณะต้องเป็นต้นเหตุ คริชณะผู้ที่บะละรามะพิจารณาว่าเป็นองค์ภควานที่ท่านเคารพบูชา บะละรามะคิดว่า “คริชณะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้แน่ แม้แต่ข้ายังไม่สามารถตรวจสอบพลังอันเร้นลับนี้ได้” บะละรามะทรงเข้าใจว่าเด็กๆ และลูกวัวทั้งหมดคือภาคแบ่งแยกของคริชณะ
บะละรามะถามคริชณะถึงสถานการณ์ที่แท้จริงว่า “คริชณะที่รัก ตอนแรกข้าคิดว่าแม่วัว ลูกวัว เด็กเลี้ยงวัวทั้งหมดคือปราชญ์ผู้ยอดเยี่ยม นักบุญ หรือเทวดา แต่บัดนี้ดูเหมือนเป็นภาคแบ่งแยกจากเจ้าแน่ ทั้งหมดคือตัวเจ้าแสดงเป็นลูกวัว แม่วัว และเด็กเลี้ยงวัว อะไรคือความเร้นลับของสถานการณ์นี้? ลูกวัว แม่วัว และเด็กเลี้ยงวัวหายไปไหนกันหมด? ทำไมเจ้าต้องแบ่งภาคมาเป็นแม่วัว ลูกวัว และเด็กๆ? กรุณาบอกด้วยว่าอะไรคือสาเหตุ? จากคำถามของบะละรามะ คริชณะอธิบายโดยสรุปถึงสถานการณ์ทั้งหมดว่าลูกวัวและเด็กเลี้ยงวัวถูกพระพรหมลักพาไป และทรงปิดบังเหตุการณ์นี้ด้วยการแบ่งภาคเพื่อผู้คนไม่รู้ว่าแม่วัว ลูกวัว และเด็กๆตัวจริงได้หายไป
ขณะที่คริชณะและบะละรามะคุยกันอยู่ พระพรหมทรงกลับมาหลังจากหนึ่งนาที (ตามเวลาของชีวิตพระพรหม) เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับอายุของพระพรหมจาก ภควัต-คีตา ว่า 1,000 รอบของระยะเวลาสี่ยุค หรือ 4,300,000 ปีคูณด้วย 1,000 เป็นสิบสองชั่วโมงของพระพรหม เช่นเดียวกันหนึ่งนาทีของพระพรหมเท่ากับหนึ่งปีตามสุริยะคติของเรา หลังจากหนึ่งนาที พระพรหมทรงกลับมาเพื่อดูเรื่องสนุกที่ได้ลักพาพวกเด็กๆ และลูกวัวไป แต่รู้สึกว่าตนเองกำลังเล่นกับไฟ คริชณะทรงเป็นเจ้านายของพระพรหม และพระพรหมเล่นซุกซนเพื่อความสนุกสนานด้วยการนำเอาลูกวัวและเด็กๆ ของคริชณะไป รู้สึกวิตกกังวลมาก จึงมิได้หายลับไปนาน กลับมาหลังจากหนึ่งนาทีเท่านั้น พบว่าเด็กๆ ลูกวัว และวัวทั้งหลายยังเล่นอยู่กับคริชณะเหมือนกับที่มาพบครั้งแรก แม้มีความมั่นใจว่าเป็นผู้ทำให้เด็กๆ และลูกวัวหลับสนิทภายใต้มนต์สะกดแห่งพลังอิทธิฤทธิ์ พระพรหมทรงเริ่มคิดว่า “เด็กเลี้ยงวัว ลูกวัว และแม่วัวทั้งหมดข้าเป็นผู้นำเอาไป และรู้ว่ายังนอนหลับสนิทอยู่ แล้วทำไมฝูงวัวเด็กเลี้ยงวัวและลูกวัวที่คล้ายกันทั้งหมดนี้ยังเล่นอยู่กับคริชณะ? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังอิทธิฤทธิ์ของข้า? ยังเล่นอยู่กับคริชณะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งปีใช่ไหม?” พระพรหมพยายามเข้าใจว่าทั้งหมดนี้คือใครและทำไมไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังอิทธิฤทธิ์ของตน แต่ไม่แน่ใจ อีกนัยหนึ่ง ตัวพระพรหมมาอยู่ภายใต้มนต์สะกดแห่งพลังอิทธิฤทธิ์ของตนเอง อิทธิพลของพลังอิทธิฤทธิ์นี้เหมือนหิมะในความมืดหรือหิ่งห้อยในเวลากลางวัน ในความมืดตอนกลางคืนหิ่งห้อยสามารถเปล่งแสงระยิบระยับเล็กน้อย และหิมะที่ก่อตัวขึ้นบนยอดเขาหรือบนหญ้าอาจมีแสงสว่างในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนหิมะไม่มีสีเงินยวงระยิบระยับ และหิ่งห้อยไม่มีแสงระยิบระยับในเวลากลางวัน ในทำนองเดียวกัน เมื่อพระพรหมแสดงพลังอิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อยต่อหน้าพลังอิทธิฤทธิ์ของคริชณะ เหมือนกับหิมะหรือหิ่งห้อย เมื่อบุคคลผู้มีอิทธิฤทธิ์น้อยปรารถนาแสดงพลังอำนาจในขณะที่ผู้มีอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าปรากฏอยู่ ทำให้อิทธิพลของตนถดถอยลง ไม่เพิ่มอิทธิพลให้ตนเอง แม้แต่บุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่เช่นพระพรหม เมื่อปรารถนาแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าคริชณะยังกลายเป็นเรื่องน่าขัน ดังนั้น พระพรหมทรงรู้สึกสับสนเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ของตนเอง
เพื่อให้พระพรหมมั่นใจว่า แม่วัว ลูกวัว และเด็กเลี้ยงวัวทั้งหมดไม่ใช่ตัวจริง แม่วัว ลูกวัว และเด็กเลี้ยงวัวที่เล่นอยู่กับคริชณะได้เปลี่ยนร่างมาเป็นพระวิชณุ ตัวจริงยังนอนอยู่ภายใต้มนต์สะกดแห่งพลังอิทธิฤทธิ์ของพระพรหม ที่พระพรหมเห็นอยู่ ณ บัดนี้ ทั้งหมดเป็นภาคแบ่งแยกของคริชณะหรือวิชณุ พระวิชณุทรงเป็นภาคแบ่งแยกของคริชณะ ดังนั้น รูปพระวิชณุทรงปรากฏต่อหน้าพระพรหม รูปลักษณ์วิชณุทั้งหมดมีสีฟ้า แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีเหลือง มีสี่กรประดับด้วยคทา กงจักร ดอกบัว และหอยสังข์ บนศีรษะมีมงกุฎระยิบระยับด้วยอัญมณีทองคำ ทั้งหมดประดับด้วยไข่มุก และต่างหู มีพวงมาลัยดอกไม้สวยงาม ที่หน้าอกเป็นเครื่องหมายชรีวัทสะ ที่แขนประดับไปด้วยกำไลข้อแขน และอัญมณีอื่นๆ คอเนียนเหมือนหอยสังข์ พระบาทประดับด้วยกระดิ่ง เอวประดับด้วยเข็มขัดทอง นิ้วประดับด้วยแหวนอัญมณี พระพรหมยังเห็นอีกด้วยว่าทั่วทั้งพระวรกายของพระวิชณุมีใบทุละสีสดๆ โปรยอยู่ เริ่มจากพระบาทรูปดอกบัวจรดศีรษะ ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของพระวิชณุคือ ทั้งหมดมีความสง่างามทิพย์ รอยยิ้มเหมือนแสงจันทร์ การชำเลืองมองเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า พระเนตรที่ชำเลืองดูเหมือนทรงเป็นผู้สร้างและผู้คำ้จุนระดับอวิชชาและตัณหา พระวิชณุทรงเป็นผู้แทนระดับความดี พระพรหมทรงเป็นผู้แทนระดับตัณหา และพระศิวะทรงเป็นผู้แทนระดับอวิชชา ดังนั้น ในฐานะเป็นผู้คำ้จุนสรรพสิ่งในปรากฏการณ์ทางจักรวาล พระวิชณุทรงเป็นผู้สร้างและผู้ค้ำจุนของพระพรหมและพระศิวะด้วย
หลังจากพระวิชณุทรงปรากฏ พระพรหมทรงเห็นว่า พระพรหม พระศิวะและเทวดาอื่นๆ แม้สิ่งมีชีวิตที่ไม่สำคัญรวมถึงมดและฟางเล็กๆ สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว ทั้งหมดเต้นรำรอบๆ พระวิชณุพร้อมบรรเลงดนตรีต่างๆ ทั้งหมดเป็นการบูชาพระวิชณุ พระพรหมทรงตระหนักว่ารูปลักษณ์พระวิชณุนั้นสมบูรณ์ เริ่มจากความสมบูรณ์อณิมา มาเป็นสิ่งเล็กเหมือนอณู จนมาเป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตเช่นปรากฏการณ์ทางจักรวาล พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของพระพรหม พระศิวะ เทวดาทั้งหมด และยี่สิบสี่ธาตุแห่งปรากฏการณ์ทางจักรวาล ปรากฏอย่างสมบูรณ์ในบุคลิกภาพแห่งพระวิชณุ ด้วยอิทธิพลของพระวิชณุ พลังอิทธิฤิทธิ์ที่ด้อยกว่าทั้งหลายปฏิบัติบูชาพระองค์ ทรงได้รับการบูชาจาก เวลา อวกาศ ปรากฏการณ์ในจักรวาล การปฏิรูป ความต้องการ กิจกรรม และคุณสมบัติทั้งสามแห่งธรรมชาติวัตถุ พระพรหมทรงตระหนักเช่นกันว่า พระวิชณุทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความจริง ความรู้ และความปลื้มปีติสุขทั้งหลาย ทรงเป็นศูนย์รวมของลักษณะทิพย์ทั้งสามเช่น อมตะ ความรู้ และปลื้มปีติสุข พระองค์ทรงเป็นที่เคารพบูชาของผู้ปฏิบัติตาม อุพะนิชัด พระพรหมตระหนักว่ารูปลักษณ์ต่างๆ ของวัว แม่วัว เด็กๆ และลูกวัวที่เปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณ์วิชณุมิได้เปลี่ยนแปลงมาจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่โยคีหรือเทวดาแสดงด้วยพลังอำนาจโดยเฉพาะที่มีอยู่ในตน แม่วัว ลูกวัว และเด็กๆ เปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณ์พระวิชณุ หรือวิชณุ-มูรทิ มิได้เป็นการแสดงของวิชณุ-มายา หรือพลังงานของวิชณุ แต่เป็นพระวิชณุเอง คุณสมบัติตามลำดับของพระวิชณุและวิชณ-ุมายา เหมือนกับไฟและความร้อน ในความร้อนมีคุณสมบัติของไฟเช่นความอบอุ่น ถึงกระนั้น ความร้อนมิใช่ไฟ การปรากฏรูปลักษณ์พระวิชณุของเด็กๆ แม่วัว และลูกวัวไม่ใช่ความร้อนแต่เป็นไฟ ทั้งหมดคือพระวิชณุที่แท้จริง อันที่จริง คุณสมบัติของพระวิชณุเปี่ยมไปด้วยสัจธรรม ความรู้ และปลื้มปีติสุข อีกตัวอย่างให้ไว้กับสิ่งของวัตถุซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนจากรูปลักษณ์มากมาย เช่น เงาของดวงอาทิตย์สะท้อนอยู่ในหม้อน้ำหลายใบ ภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์ที่อยู่ในหลายๆหม้อไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่แท้จริง เพราะไม่มีความร้อนและแสงจริงจากภาพดวงอาทิตย์ในหม้อ แม้ดูเหมือนเป็นดวงอาทิตย์ แต่รูปลักษณ์ของคริชณะที่มาอยู่ในทุกชีวิตเป็นพระวิชณุโดยสมบูรณ์ สัทยะ หมายถึงความจริง กยานะ เต็มไปด้วยความรู้ และอนันดะ เต็มไปด้วยความปลื้มปีติสุข
รูปลักษณ์ทิพย์ขององค์ภควาน บุคลิกแห่งพระองค์ทรงยิ่งใหญ่มาก ผู้ปฏิบัติตามวิถีที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ของอุพะนิชัด ไม่สามารถมีความรู้พอที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะรูปลักษณ์ทิพย์ขององค์ภควานทรงอยู่เหนือกว่าผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์จะเอื้อมถึง ผู้ที่เข้าใจผ่านการศึกษาอุพะนิชัด เท่านั้นว่าสัจธรรมที่สมบูรณ์มิใช่วัตถุและมิได้อยู่ในขอบเขตของวัตถุที่มีอำนาจจำกัด พระพรหมทรงเข้าใจคริชณะและภาคแบ่งแยกของพระองค์ในรูปพระวิชณุ และทรงเข้าใจว่าเพราะภาคแบ่งแยกแห่งพลังงานขององค์ภควาน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้และเคลื่อนไหวไม่ได้ภายในปรากฏการณ์ทางจักรวาลนี้ปรากฏอยู่ได้
เมื่อพระพรหมรู้สึกสับสนในพลังอันจำกัดของตน และตระหนักถึงกิจกรรม อันจำกัดภายในประสาทสัมผัสทั้งสิบเอ็ด อย่างน้อยสุดพระพรหมทรงตระหนักว่าทรงเป็นหนึ่งในการสร้างของพลังงานวัตถุเช่นกัน เหมือนหุ่นกระบอก หุ่นกระบอกไม่มีพลังอิสระในการเต้น แต่เต้นไปตามคำสั่งของคนเชิดหุ่น ดังนั้น เทวดาและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นรององค์ภควาน ดังที่กล่าวไว้ในเชธันญะ-ชะริทามริทะ มีเจ้านายองค์เดียวเท่านั้นคือคริชณะและทั้งหมดคือผู้รับใช้ โลกทั้งหมดอยู่ภายใต้คลื่นแห่งมนต์สะกดทางวัตถุ และสิ่งมีชีวิตลอยอยู่เหมือนฟางที่ลอยอยู่ในน้ำ ดังนั้น การดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดจึงดำเนินต่อไป ทันทีที่มีจิตสำนึกรู้ว่าตัวเราเป็นผู้รับใช้นิรันดรขององค์ภควาน มายา หรือการดิ้นรนแห่งความหลงเพื่อความอยู่รอดนี้จะยุติลงทันที
พระพรหม ผู้ควบคุมเทพธิดาแห่งความรู้ได้โดยสมบูรณ์ และพิจารณาว่าเป็นผู้เชื่อถือได้มากที่สุดในความรู้พระเวท ทรงรู้สึกงุนงงที่ไม่สามารถเข้าใจพลังอำนาจไม่ธรรมดาที่ปรากฏในองค์ภควาน ในโลกวัตถุ แม้บุคลิกภาพเช่นพระพรหมยังไม่เข้าใจศักยภาพแห่งพลังอิทธิฤิทธิ์ขององค์ภควาน ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจเท่านั้น แต่ยังสับสนที่ได้เห็นสิ่งที่คริชณะทรงแสดงให้ปรากฏอยู่ต่อหน้า
คริชณะทรงรู้สึกเมตตาสงสารพระพรหมที่ไม่สามารถเห็น แม้ทรงแสดงพลังอำนาจของพระวิชณุในการเปลี่ยนร่างให้เป็นแม่วัวและเด็กเลี้ยงวัวมากมาย ดังนั้น ขณะปรากฏภาคที่แบ่งออกมาของพระวิชณุอย่างสมบูรณ์ คริชณะทรงรูดม่านแห่ง โยกะมายา ให้มาอยู่ในฉากทันที ใน ภควัต-คีตา กล่าวว่าองค์ภควานทรงไม่ปรากฏให้เห็นเพราะม่าน โยกะมายา กั้นไว้ สิ่งที่ปกปิดความจริงคือ มะฮามายา หรือพลังงานเบื้องต่ำซึ่งไม่อนุญาตให้พันธวิญญาณเข้าใจองค์ภควานนอกเหนือจากปรากฏการณ์ทางจักรวาล แต่พลังงานที่แสดงบางส่วนขององค์ภควานและปกปิดไม่ให้เห็นบางส่วนเรียกว่าโยกะมายา พระพรหมทรงมิใช่พันธวิญญาณธรรมดา ทรงอยู่เหนือมวลเทวดา ถึงกระนั้น ยังไม่สามารถเข้าใจการแสดงขององค์ภควาน ฉะนั้น คริชณะทรงยินดียุติการแสดงพลังอีกต่อไป พันธวิญญาณไม่เพียงสับสน แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ม่านแห่ง โยกะมายา ถูกรูดลงมาเพื่อพระพรหมจะได้ไม่สับสนมากยิ่งขึ้น
พอพระพรหมได้รับการปลดเปลื้องจากความสับสน ดูเหมือนตื่นขึ้นมาจากสภาวะใกล้ตาย เริ่มลืมตาด้วยความยากลำบากยิ่ง ดังนั้น สามารถเห็นปรากฏการณ์อมตะในจักรวาลด้วยสายตาธรรมดา ทรงเห็นทัศนียภาพอันยอดเยี่ยมแห่งวรินดาวะนะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทรงรู้สึกชื่นชมยินดีกับแผ่นดินทิพย์แห่งวรินดาวะนะ สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นทิพย์เหนือธรรมชาติทั่วไป ที่ป่าวรินดาวะนะ แม้สัตว์ดุร้าย เช่น เสือ และสัตว์อื่นๆ มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับกวางและมนุษย์ ท่านสามารถเข้าใจว่า เพราะองค์ภควานทรงปรากฏที่วรินดาวะนะ ที่นี่จึงเป็นทิพย์เหนือสถานที่อื่นๆ ไม่มีราคะและความโลภเหลืออยู่เลย ดังนั้น พระพรหมทรงพบว่า องค์ภควาน ชรี คริชณะ ทรงเล่นบทเป็นเด็กเลี้ยงวัว ทรงเห็นว่าเด็กน้อยที่มีข้าวอยู่ในกำมือซ้ายตามหาเพื่อนๆ แม่วัว และลูกวัว เหมือนดังที่ได้ทำเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ทั้งหมดหายไป
พระพรหมเสด็จลงมาจากหลังพาหนะหงส์ทันที ก้มลงกราบต่อหน้าองค์ ภควานเหมือนท่อนไม้ทองคำ คำพูดที่ใช้ในหมู่ไวชณะวะเพื่อแสดงความเคารพคือ ดัณดะวัท หมายถึง “ก้มลงนอนราบกราบเหมือนกับท่อนไม้” เราควรแสดงความเคารพแด่ไวชณะวะผู้อาวุโสกว่าด้วยการก้มลงนอนเหยียดร่างตรงเหมือนท่อนไม้ ดังนั้น พระพรหมก้มลงนอนราบกราบต่อหน้าองค์ภควานเหมือนท่อนไม้เพื่อแสดงความเคารพ เนื่องจากผิวพรรณของพระพรหมเป็นสีทองจึงดูเหมือนกับท่อนไม้ทองคำที่นอนราบต่อหน้าคริชณะ มงกุฎทั้งสี่บนพระเศียรแตะที่พระบาทรูปดอกบัวของ คริชณะ ด้วยความยินดีปรีดา น้ำตาเริ่มไหล พระพรหมทรงล้างพระบาทรูปดอกบัวของคริชณะด้วยน้ำตา และก้มลงนอนราบกราบแล้วลุกขึ้นมา ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อระลึกถึงลีลาอันน่าอัศจรรย์ของคริชณะ หลังจากถวายความเคารพหลายครั้งเป็นเวลานาน ทรงยืนขึ้นเอามือไปถูตา เห็นองค์ภควานอยู่ต่อหน้า พระพรหมตัวสั่น ถวายบทมนต์ด้วยความเคารพ อ่อนน้อมถ่อมตน และตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ขอจบคำอธิบายโดยบัคธิเวดันธะ หนังสือ “องค์ภควาน คริชณะ”
บทที่สิบสาม “พระพรหมลักพาเด็กๆ และลูกโค”
บทที่สิบสาม “พระพรหมลักพาเด็กๆ และลูกโค”