องค์ภควาน คริชณะ
บทที่ 62
องค์คริชณะต่อสู้กับบาณาสุระ
เมื่อฤดูฝนสี่เดือนผ่านไป อนิรุดดะยังไม่กลับบ้าน สมาชิกในราชวงศ์ยะดุทั้งหมดรู้สึกเป็นห่วง ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้หายไปได้อย่างไร โชคดีที่วันหนึ่งปราชญ์ผู้ยอดเยี่ยมนาระดะมาส่งข่าวให้ราชวงศ์เกี่ยวกับอนิรุดดะที่หายไปจากวัง นาระดะอธิบายว่าอนิรุดดะ ถูกพาไปที่เมืองหลวงอาณาจักรของบาณาสุระ เมืองโชนิทะพุระได้อย่างไร และบาณาสุระจับอนิรุดดะด้วยนากะพาชะอย่างไร แม้อนิรุดดะได้รับชัยชนะจากทหารของบาณาสุระ ข่าวนี้ถูกถ่ายทอดอย่างละเอียด และเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผย จากนั้นสมาชิกของราชวงศ์ยะดุซึ่งทั้งหมดมีความรักต่อคริชณะมาก เตรียมตัวเพื่อไปบุกเมืองโชนิทะพุระ ผู้นำในราชวงศ์ทั้งหมดรวมทั้งพรัดยุมนะ สาทยะคิ กะดะ สามบะ สาระณะ นันดะ อุพะนันดะ และบะดระ รวมกันจัดกองทัพเป็นทิวแถว รวมทั้งหมดสิบแปดอัคโชฮิณี แล้วเริ่มเดินทางไปโชนิทะพุระ ล้อมรอบเมืองด้วยทหาร ช้าง ม้า และราชรถ
บาณาสุระได้ข่าวว่ากองทหารของราชวงศ์ยะดุได้มาบุกโจมตีทั่วทั้งเมือง ทำลายกำแพง ประตู และสวนต่างๆ ด้วยความโกรธมาก สั่งทหารที่มีขีดความสามารถพอๆกันให้ไปสกัดกั้นทันที พระศิวะผู้มีเมตตาต่อบาณาสุระได้เสด็จมาด้วยพระองค์เองในฐานะขุนพลผู้นำกองกำลังทหาร มีบุตรผู้เป็นวีรบุรุษคาร์ททิเคยะและกะณะพะทิร่วมด้วย ทรงประทับบนหลังโคที่ชื่นชอบ นันดีชวะระ พระศิวะเป็นผู้นำในการต่อสู้กับคริชณะและบะละรามะ เราสามารถเห็นภาพได้ว่าการต่อสู้กันครั้งนี้ดุเดือดเพียงใด พระศิวะพร้อมบุตรผู้กล้าหาญฝ่ายหนึ่ง และองค์ภควาน คริชณะ พร้อมพี่ชาย ชรี บะละรามะจี อีกฝ่ายหนึ่ง การต่อสู้ดุเดือดมากจนกระทั่งผู้เห็นตกตะลึงจนขนลุกไปทั่วทั้งเรือนร่าง พระศิวะสู้กับคริชณะโดยตรง พรัดยุมนะสู้คาร์ททิเคยะ และบะละรามะสู้กับขุนพลของบาณาสุระ คุมบาณดะซึ่งมีคูพะคารณะเป็นผู้ช่วย สามบะบุตรของคริชณะสู้กับบุตรของบาณาสุระ และบาณาสุระสู้กับสาทยะคิขุนพลแห่งราชวงศ์ยะดุ การต่อสู้ได้จับคู่กันเช่นนี้
ข่าวการต่อสู้แพร่สะพัดไปทั่วจักรวาล เหล่าเทวดา เช่น พระพรหม จากระบบดาวเคราะห์เบื้องสูง พร้อมทั้งนักปราชญ์และนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ สิดดะ ชาระณะ และกันดารวะ ทั้งหมดอยากเห็นการต่อสู้ระหว่างพระศิวะ องค์ภควาน คริชณะ และผู้ช่วยของทั้งคู่ บรรดาเทวดาจึงนั่งเครื่องบินร่อนอยู่เหนือสมรภูมิ พระศิวะมีชื่อว่า บูทะ-นาทะ ผู้มีภูติผีปีศาจทรงพลังหลายชนิดรวมทั้งพวกที่อยู่ในนรกเป็นผู้ช่วย เช่น บูทะ เพรทะ พระมะทะ กุฮยะคะ ดาคินี พิชาชะ คูชมาณดะ เวทาละ วินายะคะ และบระฮมะ-ราคชะสะ (ในบรรดาภูติผีทั้งหมด บระฮมะ-ราคชะสะ ร้ายกาจที่สุด พวกนี้คือพราหมณ์หรือ บราฮมะณะ ที่หลังจากตายไปกลายมาเป็นผี)
องค์ภควาน ชรี คริชณะ ทรงขับภูติผีปีศาจทั้งหมดให้ออกไปจากสมรภูมิ ด้วยศรจากคันธนูเลื่องชื่อ ชางกะดะนุ พระศิวะเริ่มปล่อยอาวุธทั้งหมดที่คัดสรรแล้วเข้าใส่ องค์ภควาน ชรี คริชณะ ทรงตอบโต้อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ด้วยอาวุธอีกชนิดหนึ่งโดยไม่ยากลำบาก ทรงตอบโต้อาวุธบระฮมาสทระ ซึ่งคล้ายกับอาวุธปรมณู ด้วยอาวุธบระฮมาสทระ อีกชนิดหนึ่ง และตอบโต้อาวุธลมด้วยอาวุธภูเขา เมื่อพระศิวะปล่อยอาวุธที่นำเอาพายุร้ายแรงมาที่สนามรบ คริชณะทรงปล่อยธาตุตรงข้ามคือ อาวุธภูเขาที่สามารถหยุดลมพายุทันที ลักษณะเดียวกัน เมื่อพระศิวะปล่อยอาวุธไฟบัลลัยกัลป์ คริชณะทรงตอบโต้ด้วยอาวุธพายุฝน
ในที่สุดเมื่อพระศิวะปล่อยอาวุธส่วนตัวชื่อ พาชุพะทะ-ชาสทระ คริชณะทรงตอบโต้ด้วย นารายะณะ-ชาสทระ ทันที พระศิวะรู้สึกฉุนเฉียวในการต่อสู้กับคริชณะ ดังนั้น คริชณะฉวยโอกาสนี้ปล่อยอาวุธหาวนอน เมื่ออาวุธนี้ถูกปล่อยออกไปคู่ต่อสู้จะรู้สึกเหนื่อย ต้องหยุดการต่อสู้และเริ่มหาวนอน จากนั้น พระศิวะรู้สึกเหนื่อยอ่อนมากจนปฏิเสธไม่ยอมสู้รบอีกต่อไป แล้วเริ่มหาวนอน ตอนนี้คริชณะทรงตีจากพระศิวะ และหันไปที่บาณาสุระ เริ่มสังหารทหารของบาณาสุระด้วยดาบและคทา ในขณะเดียวกัน พรัดยุมนะบุตรของคริชณะกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับคาร์ททิเคยะขุนพลของเทวดา คาร์ททิเคยะได้รับบาดเจ็บ ร่างกายอาบด้วยเลือด สภาพเช่นนี้จึงนั่งบนหลังนกยูงพาหนะคู่ใจออกจากสนามรบไปโดยไม่ยอมต่อสู้อีก ทำนองเดียวกัน องค์บะละรามะทรงบดขยี้คุมบาณดะขุนพลของบาณาสุระโดยเหวี่ยงคทา คูพะคารณะได้รับบาดเจ็บ ทั้งคู่คูพะคารณะและคุมบาณดะล้มลงในสนามรบ เหล่าขุนพลบาดเจ็บสาหัสมาก เมื่อไม่มีผู้นำ ทหารของบาณาสุระทั้งหมดหนีเตลิดเปิดเปิง
เมื่อบาณาสุระเห็นว่าทหารและขุนพลฝ่ายตนพ่ายแพ้ เพิ่มความโกรธเป็นทวีคูณ คิดว่าควรหยุดต่อสู้กับสาทยะคิขุนพลของคริชณะ และไปบุกโจมตีคริชณะแทน บัดนี้มีโอกาสได้ใช้หนึ่งพันมือของตนแล้ว จึงพุ่งเข้าหาคริชณะโดยใช้ธนู 500 คัน และศร 2,000 ดอกพร้อมๆ กัน คนโง่เช่นนี้ไม่มีวันสามารถวัดพละกำลังของคริชณะได้ บัดดลนั้น คริชณะทรงตัดธนูทุกคันเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย หยุดบาณาสุระไม่ให้บุกเข้ามา และทำให้ม้าเทียมราชรถลงไปนอนกองบนพื้น ราชรถหักเป็นชิ้นๆ หลังจากนี้ คริชณะทรงเป่าหอยสังข์ พานชะจันยะ ของพระองค์
มีเทพนารีชื่อโคทะราที่บาณาสุระบูชา ความสัมพันธ์ของทั้งสองเสมือน มารดาและบุตร มารดาโคทะราโกรธที่เห็นชีวิตของบาณาสุระอยู่ในอันตราย ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย ผมกระจัดกระจายยืนอยู่ต่อหน้าคริชณะ ชรี คริชณะ ทรงไม่ชอบดูภาพหญิงเปลือยตนนี้ หลีกเลี่ยงการมองไปที่นางโดยเบือนหน้าหนี บาณาสุระฉวยโอกาสนี้หลบหนีจากการรุกไล่ของคริชณะ และออกจากสนามรบไป สายธนูทั้งหมดขาดและไม่มีราชรถจะขับ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปยังเมืองของตน สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในสนามรบ
จากการถูกลูกศรของคริชณะราวีอย่างหนัก เหล่าภูติผีและปีศาจพวกพ้องของพระศิวะทั้งหมด เช่น บูทะ เพรทะ และ คชัทริยะ ออกจากสนามรบไป พระศิวะจึงใช้วิธีสุดท้าย โดยปล่อยอาวุธที่มีอานุภาพสูงสุดชื่อ ชีวะจวะระ ซึ่งมีความร้อนสูงเพื่อทำลายล้าง กล่าวไว้ว่าในตอนสิ้นสุดของการสร้างนี้ พระอาทิตย์จะมีความร้อนเพิ่มเป็นสิบสองเท่าจากปกติ ความร้อนหรืออุณหภูมิที่ร้อนกว่าปกติสิบสองเท่าของพระอาทิตย์นี้เรียกว่า ชีวะจวะระ เมื่อบุคลิกภาพแห่ง ชีวะจวะระ ผู้มีสามเศียรและสามขาถูกปล่อยออกมา ขณะพุ่งเข้าหาคริชณะดูเหมือนว่าได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจุณ เขามีพลังอำนาจมากจนทำให้เกิดเป็นไฟไปทั่วทุกสารทิศ คริชณะสังเกตเห็นว่ามันกำลังพุ่งเข้ามาหาพระองค์โดยเฉพาะ
เมื่อมีอาวุธชีวะจวะระก็มีอาวุธนารายะณะจวะระเช่นกัน นารายะณะจวะระออกมาในรูปอุณหภูมิที่เย็นจัด เมื่อมีความร้อนจัดเราอาจทนได้ แต่เมื่อมีความเย็นจัดทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลายลง ความจริงนี้บุคคลที่กำลังตายมีประสบการณ์ ขณะกำลังตายทีแรกอุณหภูมิของร่างกายจะเพิ่มเป็น 107 องศา จากนั้นทั่วทั้งร่างกายพังทลาย และกลับกลายมามีความเย็นเหมือนกับน้าแข็งทันที ในการตอบโต้ความร้อนที่แผดเผาของชีวะจวะระ ไม่มีอาวุธอื่นใดทำได้นอกจากนารายะณะจวะระ
เมื่อคริชณะทรงเห็นว่าพระศิวะได้ปล่อยชีวะจวะระ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยนารายะณะจวะระ ชรี คริชณะ ทรงเป็นนารายะณะองค์เดิม และทรงเป็นผู้ควบคุมอาวุธนารายะณะจวะระ เมื่อนารายะณะจวะระถูกปล่อยออกไป จึงเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างจวะระทั้งสอง พอความร้อนจัดถูกตอบโต้ด้วยความเย็นจัด เป็นธรรมชาติที่อุณหภูมิร้อนจะค่อยๆ ลดลง ปรากฏเช่นนี้จริงกับการต่อสู้ระหว่างชีวะจวะระและนารายะณะจวะระ ในที่สุดอุณหภูมิของชีวะจวะระค่อยๆ ลดลงไปจนหมดสิ้น และตัวชีวะจวะระเริ่มเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพระศิวะ แต่พระศิวะไม่สามารถช่วยได้ในขณะที่นารายะณะจวะระยังปรากฏอยู่ เมื่อขอความช่วยเหลือจากพระศิวะไม่ได้ ชีวะจวะระเข้าใจว่าตนเองไม่มีหนทางอื่นจะหนีรอดได้นอกจากศิโรราบต่อพระนารายณ์หรือคริชณะ พระศิวะ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดช่วยเขาไม่ได้ แล้วเทพเจ้าองค์อื่นๆที่ด้อยกว่าจะช่วยได้อย่างไร ในที่สุดชีวะจวะระศิโรราบต่อคริชณะ ก้มลงกราบและถวายบทมนต์เพื่อให้องค์ภควานทรงยินดีและช่วยปกป้อง
จากเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างอาวุธสุดยอดของพระศิวะและคริชณะพิสูจน์ให้เห็นว่าหากคริชณะทรงปกป้องจะไม่มีใครสังหารเขาได้ แต่หากคริชณะทรงไม่ปกป้องก็ไม่มีใครช่วยเขาได้ พระศิวะทรงพระนามว่า มะฮาเดวะ หรือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในมวลเทวดา แม้บางครั้งพระพรหมพิจารณาว่าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในมวลเทวดา เพราะทรงสร้าง ขณะที่พระศิวะทรงทำลายการสร้างของพระพรหม แต่ทั้งพระพรหมและพระศิวะทรงทำเพียงสิ่งเดียว พระพรหมสามารถสร้าง และพระศิวะสามารถทำลาย แต่ทั้งคู่ไม่สามารถอนุรักษ์ไว้ได้ อย่างไรก็ดี พระวิชณุไม่เพียงแต่อนุรักษ์ไว้เท่านั้น แต่ทรงสร้างและทรงทำลายด้วย อันที่จริงการสร้างมิใช่เป็นผลมาจากพระพรหม เพราะตัวพระพรหมเองถูกสร้างขึ้นมาโดยพระวิชณุ และพระศิวะถูกสร้างหรือเกิดมาจากพระพรหม ชีวะจวะระเข้าใจว่านอกจากคริชณะหรือพระนารายณ์จะไม่มีผู้ใดช่วยเขาได้ ดังนั้น จึงมาพึ่ง องค์ภควาน คริชณะ ด้วยมือพนมและเริ่มกล่าวบทมนต์ดังต่อไปนี้
“องค์ภควาน ที่รัก ข้าขอถวายความเคารพอย่างสูงแด่พระองค์เพราะทรงมีขีดความสามารถที่ไร้ขอบเขตจำกัด ไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่าพระองค์ในความสามารถ ทรงเป็นองค์ภควานของทุกชีวิต โดยทั่วไปผู้คนพิจารณาว่าพระศิวะทรงมีบุคลิกภาพที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในโลกวัตถุ แต่พระศิวะทรงมิใช่ผู้ทรงอำนาจทั้งหมด ความจริงคือพระองค์ คริชณะ ทรงพลังอำนาจทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นจิตสำนึกหรือความรู้เดิมแท้ หากปราศจากความรู้หรือจิตสำนึกไม่มีสิ่งใดมีพลังอำนาจได้ สิ่งของวัตถุอาจมีพลังอำนาจมาก แต่หากปราศจากการสัมผัสของความรู้หรือจิตสำนึกจะปฎิบัติการไม่ได้ เครื่องจักรวัตถุอาจใหญ่โตและอัศจรรย์มาก แต่หากไม่มีการสัมผัสจากจิตสำนึกในความรู้ของบางคน เครื่องจักรวัตถุใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย องค์ภควานที่รัก พระองค์ทรงเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ บุคลิกภาพผู้ไร้มลทินทางวัตถุ พระศิวะอาจเป็นเทพเจ้าผู้ทรงพลังอำนาจมาก โดยเฉพาะพลังอำนาจในการทำลายการสร้างทั้งหมด ลักษณะเดียวกัน พระพรหมอาจมีพลังอำนาจมากเพราะสามารถสร้างจักรวาลทั้งหมด แต่อันที่จริง ทั้งพระพรหมและพระศิวะมิใช่แหล่งกำเนิดเดิมแท้ของปรากฎการณ์ในจักรวาลนี้ พระองค์ทรงเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์ บระฮมันสูงสุด และทรงเป็นแหล่งกำเนิดเดิมแท้ แหล่งกำเนิดเดิมแท้ของปรากฎการณ์ในจักรวาลไม่ใช่รัศมีบระฮมันที่ไร้รูปลักษณ์ รัศมีบระฮมันที่ไร้รูปลักษณ์พำนักอยู่ที่บุคลิกภาพแห่งพระองค์ ดังที่ยืนยันไว้ใน ภควัต-คีตา แหล่งกำเนิดของบระฮมันที่ไร้รูปลักษณ์คือ องค์ภควาน คริชณะ รัศมีบระฮมันนี้เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาจากดวงอาทิตย์ ฉะนั้น บระฮมันที่ไร้รูปลักษณ์ไม่ใช่แหล่งกำเนิดสูงสุด แหล่งกำเนิดสูงสุดของสรรพสิ่งคือรูปลักษณ์อมตะสูงสุดของคริชณะ กรรมและผลกรรมทางวัตถุทั้งหมดเกิดขึ้นในบระฮมันที่ไร้รูปลักษณ์ แต่ในบระฮมันที่มีรูปลักษณ์อมตะของคริชณะไม่มีกรรมและผลกรรม พระวรกายของพระองค์ทรงสงบโดยสมบูรณ์ สุขเกษมสำราญโดยสมบูรณ์ และไร้มลทินทางวัตถุ
“ในร่างวัตถุมีกรรมและผลกรรมของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ กาลเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพราะปรากฎการณ์ทางวัตถุมีผล กระทบมาจากการดำเนินไปของเวลา ดังนั้น ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติจึงปรากฎออกมา ทันทีที่ปรากฎการณ์ปรากฎ จะเห็นกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ ผลลัพธ์จากกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุเช่นนี้สิ่งมีชีวิตจึงได้รูปร่างของตน ได้รับธรรมชาติโดยเฉพาะของตนที่บรรจุอยู่ในร่างละเอียดและร่างหยาบ ซึ่งก่อร่างสร้างตัวมาจากลมปราณชีวิต อหังการ และอวัยวะประสาทสัมผัสทั้งสิบ จิตใจ และธาตุหยาบทั้งห้า จากนั้น สิ่งเหล่านี้สร้างชนิดของร่างกายซึ่งต่อมากลายเป็นรากเง่าหรือแหล่งของร่างกายต่างๆ อันหลากหลาย ซึ่งได้รับมาร่างแล้วร่างเล่า ด้วยการเปลี่ยนร่างของดวงวิญญาณ ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้คือการกระทำที่รวมกันแห่งพลังงานวัตถุของพระองค์ โดยไม่มีผลกระทบจากกรรมและผลกรรมจากธาตุต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานเบื้องต่านี้ เนื่องจากทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของพลังงานวัตถุ จึงทรงมีความสงบราบรื่นสูงสุด พระองค์ทรงเป็นคำสุดท้ายในเสรีภาพจากมลทินทางวัตถุ ดังนั้น ข้าพเจ้าขอมาพึ่งพระบาทรูปดอกบัวของพระองค์โดยยกเลิกที่พึ่งอื่นทั้งหมด
“องค์ภควานที่รัก การปรากฏในบทมนุษย์บุตรของวะสุเดวะเป็นหนึ่งในลีลาที่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ เพื่อประโยชน์ของสาวกและเพื่อทำลายล้างผู้ไม่ใช่สาวก พระองค์ทรงปรากฎในอวตารมากมาย อวตารทั้งหลายเหล่านี้เสด็จลงมาเพื่อสนองตอบต่อคำมั่นสัญญาใน ภควัต-คีตา ว่า พระองค์ทรงปรากฎทันทีเมื่อมีข้อขัดแย้งในระบบเพื่อความก้าวหน้าแห่งชีวิต เมื่อมีความไม่สงบจากหลักธรรมที่ผิดปกติ องค์ภควานที่รัก พระองค์ทรงปรากฎด้วยพลังเบื้องสูง ภารกิจหลักคือทรงปกป้องและรักษาบรรดาเทพและบุคคลผู้สนใจในวิถีทิพย์ พร้อมทั้งอนุรักษ์มาตรฐานกฎระเบียบทางวัตถุ พร้อมไปกับการอนุรักษ์กฎระเบียบเหล่านี้ความรุนแรงที่ทรงปฎิบัติต่อคนสารเลวและพวกมารเหมาะสมดี เช่นนี้ มิใช่เป็นครั้งแรกที่ทรงอวตาร เข้าใจว่าพระองค์ทรงอวตารลงมาหลายครั้งแล้ว
“องค์ภควานที่รัก ข้าขอบอกว่าได้ถูกราวีอย่างหนักจากที่พระองค์ทรงปล่อยนารายะณะจวะระ มันเย็นมากจริงๆ ขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายมหันต์ พวกเราทั้งหมดทนไม่ได้ ตราบใดที่ลืมคริชณะจิตสำนึกเราจะถูกผลักดันด้วยมนต์สะกดแห่งความต้องการทางวัตถุ และไม่รู้ว่าพระบาทรูปดอกบัวของพระองค์เป็นที่พึ่งสูงสุด เราจึงยอมรับร่างวัตถุนี้และถูกรบกวนจากสภาวะแห่งความทุกข์สามคำรบแห่งธรรมชาติวัตถุ เพราะไม่ศิโรราบ เราจึงต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปตลอดกาล”
หลังจากได้ยินชีวะจวะระกล่าวแล้ว องค์ภควาน ชรี คริชณะ ตรัสตอบว่า “โอ้ ผู้มีสามเศียร ข้ายินดีกับคำพูดของเธอ มั่นใจได้ว่านารายะณะจวะระ จะไม่สร้างความทุกข์ให้เธออีกต่อไป ไม่เพียงแต่เธอเป็นอิสระจากความกลัวนารายะณะจวะระเท่านั้น ภายภาคหน้าผู้ใดเพียงแต่รำลึกถึงการต่อสู้ระหว่างเธอและนารายะณะจวะระ นี้ จะเป็นอิสระจากความกลัวทั้งหมดด้วยเช่นกัน” หลังจากได้ยินองค์ภควานตรัส ชีวะจวะระถวายความเคารพอย่างสูงแด่พระบาทรูปดอกบัวแล้วจากไป
ขณะเดียวกันบาณาสุระฟื้นขึ้นจากการที่เพลี่ยงพล้า พอได้พละกำลังกลับคืนมาก็หวนกลับไปสู้ต่ออีก คราวนี้บาณาสุระปรากฏตัวต่อหน้าคริชณะซึ่งประทับอยู่บนราชรถ ด้วยอาวุธต่างๆ ในหนึ่งพันมือ บาณาสุระรู้สึกโกรธเกรี้ยวมาก เริ่มสาดอาวุธเหมือนห่าฝนไปที่พระวรกายของคริชณะ พอคริชณะทรงเห็นอาวุธของบาณาสุระพุ่งมาเหมือนน้าที่พุ่งออกมาจากฝักบัว ทรงหยิบจักรสุดารชะนะที่คมกริบ และเริ่มตัดหนึ่งพันแขนของมาร ตัดแขนที่ละข้างเหมือนกับคนสวนใช้กรรไกรอันคมกริบตัดกิ่งก้านของต้นไม้ เมื่อพระศิวะเห็นว่าบาณาสุระสาวกของตนไม่มีความปลอดภัยแม้ตัวพระองค์อยู่ ณ ที่นั้น จึงรู้สำนึก มาอยู่ต่อหน้า องค์ภควาน คริชณะ ทรงเริ่มอ้อนวอนให้พระองค์สงบลงด้วยการถวายบทมนต์ดังต่อไปนี้
พระศิวะตรัสว่า “องค์ภควานที่รัก พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควรเคารพบูชาในบทมนต์พระเวท ผู้ไม่รู้จักพระองค์พิจารณาว่าบระฮมะจโยทิที่ไร้รูปลักษณ์คือสัจธรรมสูงสุด โดยไม่รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังรัศมีทิพย์ ณ ที่พระตำหนักนิรันดรของพระองค์ ดังนั้น พระองค์ทรงถูกเรียกว่า พะรัมบระฮมัน คำว่า พะรัมบระฮมัน นี้ใช้ใน ภควัต-คีตา เพื่อแสดงถึงพระองค์ นักบวชผู้ชำระหัวใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทินทางวัตถุทั้งหมดแล้วสามารถรู้แจ้งรูปลักษณ์ทิพย์ แม้ทรงแพร่กระจายไปทั่วเหมือนกับอวกาศโดยไร้ผลกระทบจากสิ่งใดๆ ที่เป็นวัตถุ สาวกเท่านั้นที่สามารถรู้แจ้งถึงพระองค์ มิใช่ผู้อื่น แนวคิดของพวกไม่เชื่อในรูปลักษณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่สูงสุดของพระองค์ว่า ท้องฟ้าเปรียบเสมือนสะดือของพระองค์ ไฟคือปาก และน้าคือน้าอสุจิ โลกสวรรค์คือพระเศียร ทิศทางทั้งหมดคือหู โลกอุรวีคือพระบาทรูปดอกบัว ดวงจันทร์คือจิตใจ และดวงอาทิตย์คือดวงตา สำหรับตัวข้าปฏิบัติเสมือนเป็นอหังการของพระองค์ มหาสมุทรคือท้อง เจ้าแห่งสวรรค์พระอินทร์คือแขน ต้นไม้และไม้ล้มลุกต่างๆ คือขนบนพระวรกาย ก้อนเมฆคือผมบนพระเศียร และพระพรหมคือปัญญา บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดชื่อว่าพระจาพะทิคือสัญลักษณ์แห่งผู้แทนของพระองค์ และศาสนาคือหัวใจ ลักษณะไร้รูปลักษณ์แห่งพระวรกายสูงสุดของพระองค์สำเหนียกได้ดังนี้ แต่ในที่สุดพระองค์ทรงเป็นบุคคลสูงสุด ลักษณะไร้รูปลักษณ์แห่งพระวรกายสูงสุดเป็นเพียงภาคแบ่งแยกเล็กน้อยแห่งพลังงานของพระองค์ พระองค์ทรงเหมือนกับไฟเดิมแท้และภาคที่แบ่งแยกคือแสงและความร้อน”
พระศิวะตรัสต่อ “องค์ภควานที่รัก แม้ทรงปรากฏทั่วทั้งจักรวาล ส่วนต่างๆของจักรวาลคือส่วนต่างๆ แห่งพระวรกายของพระองค์ ด้วยพลังอำนาจที่มองไม่เห็น พระองค์ทรงสามารถอยู่ ณ ที่หนึ่ง และทรงอยู่ทั่วทั้งจักรวาลไปพร้อมกัน ใน บระฮมะ-สัมฮิทา กล่าวไว้เช่นกันว่า แม้ทรงอยู่ที่พระตำหนักโกโลคะวรินดาวะนะเสมอ พระองค์ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังที่กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตา ว่าพระองค์ทรงปรากฏเพื่อปกป้องสาวกซึ่งแสดงถึงความโชคดีของจักรวาลทั้งหมด เทวดาทั้งหมดผู้กำกับภารกิจต่างๆ ในจักรวาลเนื่องมาจากพระกรุณาธิคุณของพระองค์เท่านั้น ดังนั้น ระบบดาวเคราะห์เบื้องสูงทั้งเจ็ดได้รับการอนุรักษ์ไว้ด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ในตอนจบของการสร้างนี้ ปรากฏการณ์ทั้งหมดแห่งพลังงานของพระองค์ไม่ว่าในรูปของเหล่าเทวดา มนุษย์ หรือสัตว์ที่ต่ากว่าจะเข้าไปในพระองค์ และแหล่งกำเนิดใกล้หรือไกลทั้งหมดของปรากฏการณ์ในจักรวาลพำนักอยู่ในพระองค์ โดยไม่มีลักษณะแห่งความเป็นอยู่ที่ชัดเจนโดยเฉพาะ ในที่สุดเป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งแยกระหว่างตัวพระองค์และสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ากว่าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ทางจักรวาลนี้ และทรงเป็นส่วนประกอบของมันด้วยพร้อมกันไป พระองค์ทรงเป็นส่วนสมบูรณ์ทั้งหมด ทรงเป็นหนึ่งไม่มีสอง ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีอยู่สามระดับ ระดับจิตสำนึก ระดับกึ่งจิตสำนึกในความฝัน และระดับไร้จิตสำนึก แต่พระองค์ทรงเป็นทิพย์เหนือระดับความเป็นอยู่ทางวัตถุต่างๆ เหล่านี้ ฉะนั้น พระองค์ทรงอยู่ในมิติที่สี่ การปรากฏและไม่ปรากฏไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเหนือตัวพระองค์ พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของสรรพสิ่ง แต่สำหรับตัวพระองค์ไม่มีแหล่งกำเนิด ตัวพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งการปรากฏและไม่ปรากฏของพระองค์เอง แม้มีสถานภาพทิพย์เช่นนี้ องค์ภควานของข้า เพื่อแสดงความมั่งคั่งทั้งหกประการและประกาศคุณสมบัติทิพย์ ทรงปรากฏในรูปอวตารต่างๆ เช่น อวตารรูปปลา รูปเต่า รูปหมูป่า รูปนริสิมฮะ รูปเคชะวะ ฯลฯ ด้วยการปรากฏส่วนพระองค์ และทรงปรากฏในฐานะสิ่งมีชีวิตต่างๆ ด้วยการปรากฏที่แยกออกไปและด้วยพลังอำนาจเบื้องสูง พระองค์ทรงปรากฏในฐานะอวตารต่างๆ ของพระวิชณุ และด้วยพลังงานเบื้องต่าของพระองค์ทรงปรากฏในฐานะปรากฏการณ์ของโลก
“เนื่องจากเป็นวันมืดคลึ้มที่ปกคลุมสายตาของมนุษย์ธรรมดา ดวงอาทิตย์ดูเหมือนว่าถูกปกคลุม แต่ความจริงเนื่องจากแสงอาทิตย์เป็นผู้สร้างหมู่เมฆ ถึงแม้ทั่วทั้งท้องฟ้าจะมืดคลึ้ม ดวงอาทิตย์ไม่มีวันถูกปกคลุม ลักษณะเดียวกัน มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาอ้างว่าไม่มีองค์ภควาน แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ปรากฏและเห็นกิจกรรมต่างๆ บุคคลผู้รู้แจ้งสามารถเห็นพระองค์ปรากฏอยู่ในทุกอณู และเห็นพระองค์ผ่านทางพลังงานเบื้องต่าและพลังงานพรมแดน กิจกรรมที่มีขีดความสามารถไม่จำกัดของพระองค์ สาวกผู้รู้แจ้งมากที่สุดมีประสบการณ์ แต่พวกที่งุนงงอยู่กับมนต์สะกดแห่งพลังงานเบื้องต่า สำคัญตนเองอยู่กับโลกวัตถุ ยึดติดอยู่กับสังคม มิตรภาพ และความรัก ดังนั้น พวกเขากอดรัดอยู่กับความทุกข์สามคำรบแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ ภายใต้สิ่งคู่ เช่น ความเจ็บปวดและความสุข บางครั้งถูกกดลงไปในมหาสมุทรแห่งการยึดติด และบางครั้งถูกดึงขึ้นมา
“องค์ภควานที่รัก ด้วยพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณของพระองค์เท่านั้นที่ดวงวิญญาณได้รับชีวิตในร่างมนุษย์ซึ่งเปิดโอกาสให้ออกไปจากสภาวะความทุกข์แห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ อย่างไรก็ดี บุคคลผู้มีร่างมนุษย์แต่ไม่สามารถควบคุมประสาทสัมผัสของตนเองได้ จะถูกคลื่นแห่งความรื่นรมย์ทางประสาทสัมผัสพัดพาไป เช่นนี้ ไม่สามารถมาพึ่งพระบาทรูปดอกบัว และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ชีวิตของคนประเภทนี้อับโชคมาก ผู้ใดมีชีวิตอยู่ในความมืดเช่นนี้ แน่นอนว่าโกงตนเองและโกงผู้อื่นด้วย ฉะนั้น สังคมมนุษย์ที่ปราศจากคริชณะจิตสำนึกคือสังคมแห่งคนโกงและคนถูกโกง
“โอ้ องค์ภควานของข้า อันที่จริงพระองค์ทรงเป็นอภิวิญญาณที่รักสูงสุดของมวลชีวิต และทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุดของสรรพสิ่ง มนุษย์ที่อยู่ภายใต้ความหลงเสมอ ในที่สุดจะกลัวความตาย มนุษย์ที่เพียงแต่ยึดติดอยู่กับการรื่นรมย์ทางประสาทสัมผัส อาสายอมรับเอาความเป็นอยู่ทางวัตถุที่เป็นทุกข์ ดังนั้น จึงล่องลอยไปแสวงหาความสุขทางวัตถุที่ไร้สาระ แน่นอนว่าเป็นคนโง่ที่สุด เพราะกำลังดื่มยาพิษโดยไม่สนใจกับน้าทิพย์ องค์ภควานที่รัก เทวดาทั้งหมดรวมทั้งตัวข้าและพระพรหม อีกทั้งนักบุญและนักบวชผู้ยิ่งใหญ่ผู้ชะล้างหัวใจของตนเองจากการยึดติดทางวัตถุนี้แล้ว มาพึ่งพระบาทรูปดอกบัวอย่างสุดหัวใจ ด้วยพระกรุณาธิคุณ พวกเราทั้งหมดมาพึ่งพระองค์เพราะยอมรับว่าทรงเป็นองค์ภควาน เป็นชีวิตและดวงวิญญาณที่รักยิ่งของเราทั้งหมด ทรงเป็นแหล่งกำเนิดเดิมแท้ของปรากฏการณ์ในจักรวาลนี้ ทรงเป็นผู้อนุรักษ์สูงสุด และทรงเป็นแหล่งกำนิดแห่งการทำลายด้วยเช่นกัน ทรงเสมอภาคต่อทุกคน ทรงเป็นเพื่อนสูงสุดที่มีความสงบที่สุดของทุกชีวิต ทรงเป็นผู้ได้รับการบูชาสูงสุดสำหรับพวกเราทุกคน องค์ภควานที่รัก ขอให้พวกเราปฏิบัติรับใช้ทิพย์ด้วยใจรักต่อพระองค์เสมอ เพื่อเราอาจได้รับอิสรภาพจากพันธนาการทางวัตถุนี้
“สุดท้ายนี้ โอ้ องค์ภควาน ข้าขอบอกว่า บาณาสุระผู้นี้เป็นที่รักยิ่งของข้า เขาได้ถวายการรับใช้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้น ข้าปรารถนาเห็นเขามีความสุขเสมอ ด้วยชื่นชอบในตัวเขา ข้าได้ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย โอ้ องค์ภควาน ข้าขอภาวนาต่อพระองค์ว่า ดังที่ทรงยินดีกับบรรพบุรุษของเขา กษัตริย์ พระฮลาดะ และ บะลิ มะฮาราจะ พระองค์จะทรงยินดีกับเขาด้วยเช่นกัน”
หลังจากได้ยินบทมนต์ของพระศิวะ องค์ภควาน คริชณะ ทรงเรียกพระศิวะว่าเทพเจ้าเช่นกัน ตรัสว่า “ศิวะเทพที่รักของข้า ข้ายอมรับคำพูดของท่าน และความปรารถนาที่ท่านมีต่อบาณาสุระ ข้ารู้ว่าบาณาสุระ เป็นบุตรของ บะลิ มะฮาราจะ เช่นนี้ ข้าไม่สังหารเขาเพราะได้ให้สัญญาไว้ โดยให้พรแก่กษัตริย์ พระฮลาดะ ว่า มารทั้งหมดที่ปรากฏในตระกูลของเขาจะไม่ถูกข้าสังหาร ดังนั้น จึงไม่สังหารบาณาสุระ เพียงแต่ตัดแขนเท่านั้น เพื่อตัดทอนเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ผิดๆ กองทัพทหารอันมหึมาของเขาเป็นภาระหนักโลก ข้าได้สังหารไปทั้งหมดเพื่อให้โลกนี้เบาขึ้น บัดนี้ เขายังเหลืออีกสี่แขนและจะเป็นอมตะ ไม่มีผลกระทบจากความเจ็บปวดและความสุขทางวัตถุ ข้ารู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสาวกชั้นนำของท่าน บัดนี้ จงสบายใจว่า จากนี้ต่อไปเขาไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งอื่นใดอีกต่อไป”
เมื่อบาณาสุระได้รับพรจาก องค์ภควาน ชรี คริชณะ เช่นนี้ เขามาอยู่ต่อหน้าพระองค์ ก้มลงกราบศีรษะแตะพื้นโลก จากนั้น จัดให้นำอุชาธิดาสาวและอนิรุดดะมานั่งบนราชรถอันสวยงาม ถวายทั้งคู่แด่ องค์ภควาน ชรี คริชณะ หลังจากนี้ คริชณะทรงดูแลอนิรุดดะและอุชาผู้ซึ่งมีความมั่งคั่งทางวัตถุมากด้วยพรจากพระศิวะ จากนั้นให้กองทัพทหารหนึ่งอัคโชฮิณีอยู่ข้างหน้า คริชณะทรงเริ่มเดินทางไปดวาระคา ขณะเดียวกันประชากรทั้งหมดที่ดวาระคาได้ข่าวว่าคริชณะกำลังกลับมาพร้อมทั้งอนิรุดดะและอุชา ด้วยความมั่งคั่งยิ่งใหญ่จึงประดับประดาทุกมุมเมืองด้วยธง เฟื่องระย้า และพวงมาลัย ถนนสายใหญ่ๆ และทางข้ามทั้งหมดถูกชำระล้างอย่างดีและฉีดด้วยกระแจะจันทน์ผสมน้า ทุกหนทุกแห่งมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ ประชากรทั้งหมดพร้อมด้วยเพื่อนๆ และญาติๆ มาต้อนรับ องค์ภควาน ชรี คริชณะ อย่างเอิกเกริก มีความร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นได้มีเสียงกระหึ่มของหอยสังข์ กลอง และเขาวัว เพื่อต้อนรับพระองค์ เช่นนี้ องค์ภควาน ชรี คริชณะ เสด็จเข้าไปยังเมืองหลวงดวาระคาของพระองค์
ชุคะเดวะ โกสวามี ให้ความมั่นใจแด่กษัตริย์พะรีคชิทว่า การเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างพระศิวะ และ องค์ภควาน คริชณะ มิใช่เป็นเรื่องไม่เป็นมงคลเหมือน กับการต่อสู้ธรรมดาทั่วไป ตรงกันข้าม หากผู้ใดจดจำเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง องค์ภควานคริชณะและพระศิวะนี้ในตอนเช้า และมีความสุขที่ องค์ภควาน คริชณะ ทรงได้รับชัยชนะ เขาจะไม่ประสบกับความปราชัยไม่ว่าที่ใดในการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิต
เรื่องราวการต่อสู้ของบาณาสุระกับคริชณะ และด้วยพระกรุณาธิคุณของพระศิวะต่อมาบาณาสุระจึงปลอดภัย เป็นการยืนยันข้อความใน ภควัต-คีตา ว่า ผู้บูชาเทวดาไม่สามารถได้รับพรใดอันโดยที่ องค์ภควาน ชรี คริชณะ ทรงไม่อนุญาต ในเรื่องราวนี้เราพบว่าแม้บาณาสุระเป็นสาวกชั้นเยี่ยมของพระศิวะ เมื่อเผชิญกับความตายจากคริชณะ พระศิวะช่วยไม่ได้แต่ทรงขอร้องให้คริชณะช่วยสาวกของตน ดังนั้น องค์ภควานทรงอนุญาต นี่คือสถานภาพของ องค์ภควาน ชรี คริชณะ คำพูดที่ใช้สัมพันธ์กับตรงนี้ใน ภควัต-คีตา คือ มะไยวะ วิฮิทาน ฮิ ทาน แปลว่า ปราศจากการอนุญาตขององค์ภควาน ไม่มีเทวดาองค์ใดสามารถให้พรแก่ผู้ที่บูชาตนได้
ดังนั้น ขอจบคำอธิบายโดยบัคธิเวดันธะ หนังสือ “องค์ภควาน คริชณะ”
บทที่หกสิบสอง “องค์คริชณะต่อสู้กับบาณาสุระ”
บทที่หกสิบสอง “องค์คริชณะต่อสู้กับบาณาสุระ”