องค์ภควาน คริชณะ

บทที่ 71

กษัตริย์จะราสันดะหลุดพ้น

ณ ที่ชุมนุมสำคัญที่มีผู้ควรเคารพนับถือ ประชาชน เพื่อน ญาติ พราหมณ์ นักปราชญ์ คชัทริยะ และไวชยะ กษัตริย์ยุดิชทิระทรงอยู่ต่อหน้าบุคคลเหล่านี้รวมทั้งพระอนุชา ตรัสต่อคริชณะดังนี้ “คริชณะที่รัก พิธีบวงสรวงบูชานามว่าราจะสูยะ ยะกยะ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งพิธีบูชาทั้งหลาย จักรพรรดิ์ทรงเป็นผู้ทำพิธี ข้าปรารถนาทำพิธีนี้เพื่อให้เทวดาซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์ภายในโลกวัตถุนี้ทรงพอพระทัย และปรารถนาให้พระองค์ทรงกรุณาช่วย เพื่อให้การผจญภัยครั้งสำคัญนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สำหรับพวกเราพาณดะวะไม่มีอะไรจะขอจากเทวดา เรามีความพึงพอใจโดยสมบูรณ์อยู่ในตัวด้วยการเป็นสาวก ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน ภควัค-คีตา ว่า ‘บุคคลผู้สับสนจากความปรารถนาทางวัตถุจะบูชาเทวดา’ แต่จุดมุ่งหมายของเราแตกต่างกัน ข้าพเจ้าปรารถนาทำพิธีบูชาราจะสูยะนี้ และเชิญบรรดาเทวดาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเทวดาไม่มีพลังอำนาจโดยเสรีจากพระองค์ เทวดาทั้งหมดเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ทรงเป็นองค์ภควาน คนโง่ผู้ด้อยความรู้พิจารณาว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา บางครั้งพวกเขาพยายามจับผิดและบางครั้งลบหลู่พระองค์ ดังนั้น ข้าจึงปรารถนาทำพิธี ราจะสูยะ ยะกยะ นี้ แล้วเชิญเทวดาทั้งหมดเริ่มต้นจากพระพรหม พระศิวะ และผู้นำที่มีตำแหน่งสูงส่งองค์อื่นๆจากสวรรค์ ณ ที่ชุมนุมอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเทวดาที่มาจากทั่วจักรวาล ข้าพเจ้าปรารถนาพิสูจน์ว่า พระองค์คือองค์ภควาน บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า และทุกคนคือผู้รับใช้ของพระองค์
“องค์ภควานที่รัก พวกที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกตลอดเวลาและระลึกถึงพระบาทรูปดอกบัวหรือฉลองพระบาทของพระองค์ แน่นอนว่าจะเป็นอิสระจากมลทินทั้งปวงแห่งชีวิตวัตถุ บุคคลผู้ปฏิบัติรับใช้พระองค์ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ ทำสมาธิอยู่ที่พระองค์หรือถวายบทมนต์แด่พระองค์เท่านั้น เป็นดวงวิญญาณผู้บริสุทธิ์ ปฏิบัติอยู่ในคริชณะจิตสำนึกเสมอ บุคคลเช่นนี้เป็นอิสระจากวัฏจักรแห่งการเกิดและตายซ้าซาก ไม่ปรารถนาแม้แต่จะเป็นอิสระจากความเป็นอยู่ทางวัตถุหรือรื่นเริงกับความมั่งคั่งทางวัตถุ ความปรารถนาของพวกท่านได้รับการสนองตอบจากกิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก สำหรับพวกเรา ขอศิโรราบโดยดุษฏีแด่พระบาทรูปดอกบัวของพระองค์ ด้วยพระกรุณาธิคุณทำให้เราโชคดีที่ได้เห็นพระองค์ซึ่งๆหน้า โดยธรรมชาติเราไม่ปรารถนาความมั่งคั่งทางวัตถุ คำตัดสินของปรัชญาพระเวทคือพระองค์ทรงเป็นองค์ภควาน บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ข้าปรารถนาสถาปนาความจริงนี้และแสดงให้โลกเห็นข้อแตกต่างระหว่างการยอมรับพระองค์ในฐานะองค์ภควาน และยอมรับพระองค์ในฐานะบุคคลธรรมดาทางประวัติศาสตร์ผู้มีพลังอำนาจมากเท่านั้น ข้าปรารถนาแสดงให้โลกเห็นว่าบุคคลสามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิตด้วยเพียงแต่มาพึ่งพระบาทรูปดอกบัวของพระองค์เท่านั้น เฉกเช่นเราสามารถทำให้ กิ่ง ก้าน สาขา ใบ และดอกไม้ทั่วทั้งต้นอุดมสมบูรณ์ ด้วยเพียงแต่รดน้าไปที่รากเท่านั้น ฉะนั้น หากรับเอาคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติ ชีวิตเราจะได้รับความพึงพอใจทั้งในวิถีวัตถุและวิถีทิพย์
“เช่นนี้มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงลำเอียงต่อบุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึก และไม่สนใจผู้ที่ไร้คริชณะจิตสำนึก พระองค์ทรงเสมอภาคต่อทุกคน นั่นคือคำที่ทรงประกาศ พระองค์ไม่ลำเอียงต่อผู้หนึ่งและไม่สนใจผู้อื่นเพราะทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของทุกคนในรูปอภิวิญญาณ และทรงให้ผลในกิจกรรมทางวัตถุแด่ทุกคนตามลำดับ ทรงให้โอกาสทุกชีวิตที่จะรื่นเริงกับโลกวัตถุตามที่ปรารถนา ในฐานะอภิวิญญาณทรงประทับอยู่ในร่างควบคู่ไปกับสิ่งมีชีวิต ให้ผลในการกระทำของเขาและให้โอกาสกลับคืนสู่การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ด้วยการพัฒนาคริชณะจิตสำนึก ทรงประกาศอย่างเปิดเผยว่าบุคคลควรศิโรราบต่อพระองค์ ยกเลิกการปฏิบัติอื่นๆทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงดูแล พร้อมกับให้ได้รับการปลดเปลื้องจากผลบาปทั้งปวง ถึงกระนั้น สิ่งมีชีวิตยังคงยึดติดอยู่กับกิจกรรมทางวัตถุ และได้รับความทุกข์หรือความสุขตามผลกรรมโดยที่พระองค์ทรงไม่ไปรบกวน ทรงเหมือนกับต้นไม้แห่งความปรารถนาบนสวรรค์ คือให้พรตามที่บุคคลปรารถนา ทุกคนมีเสรีภาพที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุด หากไม่ปรารถนาเช่นนั้น พระองค์ทรงให้พรที่ลดน้อยลงไปซึ่งมิใช่การลำเอียง”
เมื่อได้ยินคำพูดจากกษัตริย์ยุดิชทิระเช่นนี้ องค์ภควาน คริชณะ ตรัสตอบดังนี้ “กษัตริย์ยุดิชทิระที่รัก โอ้ ผู้สังหารศัตรู โอ้ บุคลิกภาพแห่งความยุติธรรมที่ดีเลิศ ข้าสนันสนุนการตัดสินใจของท่านเต็มที่ในการทำพิธีบูชาราจะสูยะ เมื่อปฏิบัติพิธีบูชาอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว ชื่อเสียงที่ดีของท่านจะได้รับการสถาปนาชั่วนิรันดรในประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรมมนุษย์ กษัตริย์ที่รัก ให้ข้าบอกท่านว่าเป็นความปรารถนาของนักปราชญ์ผู้ยอดเยี่ยมทั้งหลาย บรรพบุรุษ เหล่าเทวดา พร้อมทั้งญาติๆ และเพื่อนๆ ของท่าน รวมทั้งตัวข้าอยากให้ท่านทำพิธีบูชานี้ ข้าคิดว่าจะทำให้ทุกชีวิตพึงพอใจ แต่เนื่องจากมีความจำเป็น ขอร้องว่าก่อนอื่นต้องพิชิตกษัตริย์ทั้งหลายในโลกและรวบรวมสิ่งของจำเป็นทั้งหมดในการทำพิธีบูชาอันยิ่งใหญ่นี้ กษัตริย์ยุดิชทิระที่รัก พระอนุชาทั้งสี่ของท่านเป็นผู้แทนโดยตรงจากเทวดาองค์สำคัญๆ เช่น วะรุณะ พระอินทร์ ฯลฯ (กล่าวว่าบีมะเกิดมาจากเทพวะรุณะ และอารจุนะเกิดมาจากพระอินทร์ ขณะที่ยุดิชทิระเกิดมาจากยมราช) พระอนุชาของท่านเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และตัวท่านเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดี จึงได้ชื่อว่าธรรมราชา (ดารมะราจะ) พวกท่านทั้งหมดมีคุณสมบัติเหมาะสมในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ข้า จนตัวข้าถูกพิชิตโดยปริยาย”
องค์ภควาน คริชณะ ทรงบอกกษัตริย์ยุดิชทิระว่า พระองค์ทรงถูกพิชิตได้ด้วยความรักจากผู้ที่เอาชนะประสาทสัมผัสของตนเองได้ ผู้ที่ยังไม่ชนะประสาทสัมผัสของตนเองจะไม่สามารถพิชิตองค์ภควาน นี่คือความลับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ การเอาชนะประสาทสัมผัสหมายความว่า ใช้ประสาทสัมผัสในการรับใช้องค์ภควานเสมอ คุณสมบัติโดยเฉพาะของพี่น้องพาณดะวะทั้งหมดคือ พวกเขาจะใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดในการรับใช้คริชณะ ฉะนั้น ผู้ที่ใช้ประสาทสัมผัสเช่นนี้จึงกลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยประสาทสัมผัสที่บริสุทธิ์จึงสามารถถวายการรับใช้องค์ภควานด้วยความรักทิพย์อย่างแท้จริง ดังนั้น คริชณะทรงถูกพิชิตได้ด้วยการรับใช้ทิพย์จากใจรักของสาวก
องค์ภควาน คริชณะ ตรัสต่อ “ไม่มีผู้ใดในสามโลกแห่งจักรวาล รวมทั้งเทวดาผู้ทรงพลังอำนาจ จะมีความมั่งคั่งหนึ่งในหกประการเกินสาวกของข้า เช่น ความร่ารวย พลังอำนาจ ชื่อเสียง ความสง่างาม ความรู้ และเสียสละ ฉะนั้น หากท่านปรารถนาพิชิตเหล่ากษัตริย์ในโลกวัตถุ กษัตริย์พวกนั้นไม่มีวันได้รับชัยชนะ”
เมื่อองค์ภควาน คริชณะ ทรงให้กำลังใจกษัตริย์ยุดิชทิระ ใบหน้าของพระราชาสว่างไสวเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานเนื่องมาจากความสุขทิพย์ จึงรับสั่งบรรดาน้องๆให้ไปพิชิตกษัตริย์ในโลกวัตถุทั้งหมดทุกทิศทาง คริชณะทรงให้พลังแด่พาณดะวะไปปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการสั่งสอนคนชั่วที่ไม่ซื่อสัตย์ในโลก และให้การปกป้องแด่สาวกผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ ในรูปลักษณ์พระวิชณุ ทรงถืออาวุธสี่ชนิดด้วยสี่กร ดอกบัวและหอยสังข์สองกรสำหรับสาวก อีกสองกรทรงถือคทาและกงจักรสำหรับผู้ไม่ใช่สาวก เนื่องจากทรงเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์ ผลจากการปฏิบัติของอาวุธทั้งหมดจึงเป็นหนึ่งเดียวและเหมือนกัน ด้วยคทาและกงจักร พระองค์ทรงสั่งสอนคนชั่วเพื่อให้รู้สำนึกว่าตนเองมิใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด เหนือไปกว่าพวกเขายังมีองค์ภควาน จากการเป่าหอยสังข์และให้พรด้วยดอกบัวทรงให้ความมั่นใจแด่สาวกเสมอว่า ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายสาวกได้ แม้อยู่ท่ามกลางความหายนะอันใหญ่หลวง พอกษัตริย์ยุดิชทิระได้รับความมั่นใจจากการแสดงออกของคริชณะ ทรงรับสั่งให้น้องคนสุดท้องสะหะเดวะพร้อมทหารจากเผ่าสรินจะยะไปพิชิตประเทศต่างๆทางทิศใต้ ลักษณะเดียวกันทรงรับสั่งให้นะคุละพร้อมทหารของมัทสยะเดชะไปพิชิตเหล่ากษัตริย์ทางทิศตะวันตก ทรงส่งอารจุนะพร้อมทั้งทหารของเคคะยะเดชะไปพิชิตเหล่ากษัตริย์ทางทิศเหนือ และบีมะเสนะพร้อมทหารของมะดระเดชะ (มะดรัส) ได้รับสั่งให้ไปพิชิตเหล่ากษัตริย์ทางทิศตะวันออก
อาจสังเกตว่าจากการส่งพระอนุชาทั้งหมดไปพิชิตในทิศทางต่างๆ อันที่จริง กษัตริย์ยุดิชทิระทรงมิได้ตั้งใจให้ไปประกาศสงครามกับบรรดากษัตริย์ พระอนุชาของพระองค์ไปในทิศทางต่างๆ เพื่อส่งข่าวเกี่ยวกับความตั้งใจของยุดิชทิระที่จะทำพิธีบูชาราจะสูยะ เหล่ากษัตริย์จึงได้รับข้อมูลว่าจำเป็นต้องจ่ายภาษีเพื่อพิธีบูชา การจ่ายภาษีแด่จักรพรรดิ์ยุดิชทิระหมายความว่า กษัตริย์ยอมรับว่าอยู่ภายใต้ความเป็นจักรพรรดิ์ของยุดิชทิระ ในกรณีที่มีกษัตริย์ไม่ยอมปฏิบัติตาม แน่นอนว่าต้องต่อสู้กัน ดังนั้น ด้วยอิทธิพลและพละกำลัง บรรดาอนุชาจึงพิชิตกษัตริย์ทั้งหมดทั่วทุกสารทิศ สามารถนำภาษีและเครื่องราชบรรณาการมาอย่างเพียงพอถวายให้แด่กษัตริย์ยุดิชทิระ อย่างไรก็ดี กษัตริย์ยุดิชทิระรู้สึกกระตือรือร้นมากเมื่อได้ข่าวว่า กษัตริย์จะราสันดะแห่งมะกะดะไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของพระองค์ คริชณะทรงเห็นความกังวลของกษัตริย์ยุดิชทิระจึงทรงเปิดเผยแผนการณ์ที่อุดดะวะวางไว้เพื่อพิชิตกษัตริย์จะราสันดะ, บีมะเสนะ อารจุนะ และคริชณะทรงเดินทางไปเมืองหลวงของจะราสันดะ กิริวระจะ ด้วยกัน แต่งตัวในรูปพราหมณ์ นี่คือแผนที่อุดดะวะวางไว้ก่อนที่คริชณะเสด็จมาฮัสทินาพุระ บัดนี้ จะลงมือปฏิบัติตามแผนนั้น
กษัตริย์จะราสันดะทรงเป็นคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี มีความเคารพอย่างสูงต่อพราหมณ์ เป็นกษัตริย์คชัทริยะ นักรบผู้ยอดเยี่ยม ทรงไม่เคยละเลยคำสั่งสอนของพระเวท ตามคำสอนพระเวทพราหมณ์ถือว่าเป็นพระอาจารย์ของวรรณะอื่นทั้งหมด คริชณะ อารจุนะ และบีมะเสนะ อันที่จริงเป็นคชัทริยะ แต่แต่งตัวเป็นพราหมณ์ ขณะที่กษัตริย์จะราสันดะกำลังทำบุญถวายแด่พราหมณ์ จึงต้อนรับพราหมณ์ทั้งสามขณะเข้าพบในฐานะอาคันตุกะ
องค์ภควาน คริชณะ ในชุดพราหมณ์ตรัสต่อกษัตริย์จะราสันดะว่า “พวกเราขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ เราทั้งสามเป็นอาคันตุกะของราชวังพระองค์ มาจากแดนไกลเพื่อขอให้พระองค์ทรงทำบุญ และหวังว่าทรงเมตตาให้ทุกสิ่งที่เราขอ พวกเรารู้ถึงคุณสมบัติที่ดีของพระองค์ว่าเป็นบุคคลผู้มีความอดทน พร้อมอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ แม้เป็นความทุกข์ เสมือนอาชญากรที่สามารถทำสิ่งเลวร้ายที่สุด ฉะนั้น บุคคลผู้มีใจบุญมากเยี่ยงพระองค์ สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคนขอ สำหรับบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่เช่นพระองค์ ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างญาติและบุคคลภายนอก คนชื่อเสียงดีจะมีชีวิตอยู่นิรันดรแม้หลังจากตายไป ฉะนั้น ผู้ใดที่เหมาะสมโดยสมบูรณ์และสามารถทำสิ่งที่ทำให้ตนเองมีชื่อเสียงดีนิรันดร แต่ไม่ทำ จะกลายมาเป็นผู้น่ารังเกียจในสายตาของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ คนเช่นนี้ถูกประณามสักเท่าไรก็ไม่เพียงพอ การปฏิเสธในการทำกุศลกรรมนี้จะเป็นที่น่าเสียใจไปตลอดชีวิต พระองค์คงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของบุคลิกภาพผู้ใจบุญ เช่น ฮะริชชันดระ รันทิเดวะ และมุดกะละ ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเมล็ดข้าวที่เก็บมาจากท้องนาเท่านั้น และมะฮาราจะชิบิผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยชีวิตนกพิราบด้วยการแล่เนื้อจากร่างของตนเอง บุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้บรรลุถึงความมีชื่อเสียงนิรันดร โดยเสียสละร่างกายที่ไม่ถาวรและสูญสลายนี้” คริชณะในชุดพราหมณ์ทรงให้ข้อมูลแด่จะราสันดะว่าชื่อเสียงนั้นไม่มีวันดับสูญ แต่ร่างกายจะดับสูญ หากบุคคลสามารถบรรลุถึงชื่อเสียงที่ไม่ดับสูญด้วยการเสียสละร่างกายที่ต้องสูญสลายของตน จะกลายมาเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพมากในประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรมมนุษย์
ขณะที่คริชณะตรัส ทรงแต่งองค์ในชุดพราหมณ์พร้อมกับอารจุนะและบีมะ จะราสันดะสังเกตเห็นว่าทั้งสามคนดูไม่เหมือนเป็นพราหมณ์ ลักษณะร่างกายทำให้จะราสันดะเข้าใจว่าพวกนี้น่าจะเป็นคชัทริยะ บนไหล่มีรอยแสดงให้เห็นว่าได้แบกคันธนูมา อีกทั้งมีรูปร่างลักษณะที่สง่างามและน้าเสียงที่หนักแน่นมีอำนาจ ฉะนั้น จึงสรุปอย่างแน่ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่พราหมณ์แต่เป็นคชัทริยะ แล้วยังคิดอีกด้วยว่าเคยเห็นพวกนี้ที่ใหนมาก่อน แม้ทั้งสามคนเป็นคชัทริยะ แต่มาถึงประตูบ้านเพื่อภิกขาจารเหมือนกับพราหมณ์ จึงตัดสินใจว่าจะสนองตอบความปรารถนาของพวกเขาแม้จะเป็นคชัทริยะ สถานภาพคชัทริยะจบสิ้นลงไปแล้วเพราะมาปรากฏอยู่ต่อหน้าในฐานะขอทาน “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้” จะราสันดะคิดว่า “ข้าเตรียมพร้อมจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ขอร่างกาย ข้าไม่ลังเลในการให้ร่างนี้แก่พวกเขา” สัมพันธ์กับตรงนี้ จะราสันดะคิดถึง บะลิ มะฮาราจะ พระวิชณุทรงมาในชุดพราหมณ์เพื่อภิกขาจารต่อหน้าบะลิ และทรงเอาความมั่งคั่งและอาณาจักรของบะลิไปทั้งหมด ทำเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของพระอินทร์ ผู้พ่ายแพ้ บะลิ มะฮาราจะ จนไร้อาณาจักร แม้บะลิ มะฮาราจะ ถูกหลอก ชื่อเสียงในฐานะสาวกผู้ยอดเยี่ยมที่สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทาน ยังได้รับการสรรเสริญทั่วทั้งสามโลกตราบเท่าทุกวันนี้ บะลิ มะฮาราจะ ทรงคิดว่าพราหมณ์คือพระวิชณุ ทรงมาหาบะลิเพื่อนำเอาอาณาจักรอันมั่งคั่งไปในนามของพระอินทร์ ชุคราชารยะ เป็นพระอาจารย์และพระประจำตระกูลของ บะลิ เตือนไว้เสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงกระนั้นบะลิไม่ลังเลที่จะถวายให้เป็นทาน ไม่ว่าพราหมณ์ต้องการอะไร ในที่สุดทรงยกทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่พราหมณ์รูปนั้น “เป็นความมั่นใจของข้าอย่างมั่นคง” จะราสันดะคิด “หากข้าได้รับชื่อเสียงนิรันดรด้วยการเสียสละร่างกายที่ต้องสูญสลายนี้ ข้าต้องทำเพื่อจุดมุ่งหมายนั้น ชีวิตคชัทริยะผู้ไม่อยู่เพื่อประโยชน์ของพราหมณ์ ต้องถูกประณามอย่างแน่นอน”
อันที่จริง กษัตริย์จะราสันดะมีจิตใจกว้างขวางมากในการทำบุญให้ทานแด่พราหมณ์ ดังนั้น จึงบอกแด่คริชณะ บีมะ และอารจุนะว่า “พราหมณ์ที่รักของข้า ท่านขอสิ่งใดจากข้าจะได้ตามที่ปรารถนา หากปรารถนาแม้กระทั่งศีรษะ ข้าพร้อมที่จะให้” จากนี้ องค์ภควาน คริชณะ ตรัสแด่จะราสันดะดังนี้ “กษัตริย์ที่รัก โปรดสังเกตว่า เราไม่ใช่พราหมณ์ มิได้มาที่นี่เพื่อขออาหารหรือข้าว เราทั้งสามคนเป็นคชัทริยะ มาเพื่อขอต่อสู้กับท่านตัวต่อตัว หวังว่าท่านจะยอมรับคำท้านี้ ท่านอาจสังเกตเห็นว่านี่คือ บีมะเสนะ โอรสองค์ที่สองของกษัตริย์พาณดุ และอารจุนะโอรสองค์ที่สามของกษัตริย์พาณดุ สำหรับตัวข้าอาจรู้ว่าข้าคือศัตรูเก่าของท่าน คริชณะผู้เป็นญาติของพาณดะวะ”
พอคริชณะทรงเปิดเผยที่ได้ปลอมตัวมา กษัตริย์จะราสันดะเริ่มร้องออกมาด้วยเสียงดังมาก และด้วยความโกรธเป็นอย่างยิ่ง คำรามออกมาด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า “เจ้าพวกคนโง่! หากเจ้าต้องการต่อสู้กับข้า ข้าตกลงทันที แต่คริชณะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาด ข้าปฏิเสธจะต่อสู้กับเจ้า เพราะเจ้าสับสนมาก เมื่อมาเผชิญหน้ากับข้าเพื่อรบกัน ด้วยความกลัวเจ้าได้หนีออกจากเมืองมะทุราไป บัดนี้มาอาศัยอยู่ในทะเล ข้าต้องปฏิเสธการต่อสู้กับเจ้า สำหรับอารจุนะรู้ว่าอ่อนกว่าข้า ไม่คู่ควรมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ข้าปฏิเสธจะต่อสู้กับอารจุนะ แต่สำหรับบีมะเสนะ คิดว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับข้าดี” หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว กษัตริย์จะราสันดะส่งคทาที่หนักมากให้แก่บีมะเสนะทันที และตนเองคว้าคทาไปอีกอันหนึ่ง จากนั้น ทั้งหมดออกไปนอกกำแพงเมืองเพื่อต่อสู้กัน
บีมะเสนะและกษัตริย์จะราสันดะต่อสู้กันด้วยคทา ซึ่งแข็งแกร่งดุจสายฟ้า เริ่มฟาดฟันกันอย่างรุนแรงมากด้วยความโกรธ ทั้งคู่เป็นผู้ชำนาญในการต่อสู้ด้วยคทา เทคนิคในการฟาดฟันกันงดงามน่าดูมาก เหมือนกับสองศิลปินนักแสดงเต้นรำอยู่บนเวที เมื่อคทาของจะราสันดะและบีมะเสนะประสานกันทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงดังราวกับพญาช้างสารสองเชือกประสานงากัน หรือเหมือนกับเสียงสายฟ้าแลบอยู่ในพายุ เมื่อช้างสองเชือกต่อสู้กันในไร่อ้อย แต่ละตัวจะถอนลำอ้อยออกมา ด้วยการใช้งวงรัดไว้แน่นแล้วเหวี่ยงไปที่คู่ต่อสู้ ช้างแต่ละตัวฟาดไปที่ไหล่ แขน กระดูกไหปลาร้า หน้าอก โคนขา เอว และขาของคู่ต่อสู้อย่างรุนแรง เช่นนี้ทำให้ท่อนอ้อยหักลง ลักษณะเดียวกัน คทาที่จะราสันดะและบิมะเสนะใช้ก็หักลง ดังนั้น คู่ต่อสู้ทั้งสองจึงเตรียมตัวสู้กันด้วยกำปั้นอันทรงพลัง ทั้งจะราสันดะและบีมะเสนะโกรธมาก เริ่มเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่กัน เสียงของกำปั้นที่เหวี่ยงออกไปเหมือนกับเสียงของการเหวี่ยงท่อนเหล็ก หรือเหมือนกับเสียงของสายฟ้า ทั้งคู่ดูเหมือนกับพญาช้างสารสองเชือกกำลังต่อสู้กัน อย่างไรก็ดี ไม่มีใครสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เพราะทั้งคู่มีความชำนาญในการต่อสู้มาก มีพลังพอๆ กัน และเทคนิคการต่อสู้ก็พอๆ กัน ทั้งจะราสันดะและบีมะเสนะไม่รู้สึกเหนื่อยหรือยอมแพ้ แม้จะฟาดฟันกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากสู้กันมาทั้งวัน ตกกลางคืนทั้งคู่พักอยู่ด้วยกันฉันเพื่อนที่วังของจะราสันดะ แล้ววันรุ่งขึ้นมาสู้กันใหม่ เช่นนี้ ทั้งคู่ต่อสู้กันเป็นเวลายี่สิบเจ็ดวัน
วันที่ยี่สิบแปด บีมะเสนะบอกคริชณะว่า “คริชณะที่รัก ต้องยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ข้าไม่สามารถเอาชนะจะราสันดะได้” อย่างไรก็ดี องค์ภควาน คริชณะทรงทราบถึงความเร้นลับแห่งการเกิดของเขา จะราสันดะเกิดจากสองส่วนที่ต่างกัน จากสองมารดาที่ต่างกัน เมื่อบิดาเห็นว่าทารกน้อยคนนี้ไม่มีประโยชน์จึงโยนสองส่วนนี้ทิ้งไปในป่า ต่อมามีแม่มดผู้ชำนาญศิลปะมืดชื่อจะราไปพบเข้า นางจัดการประสานสองส่วนของทารกน้อยนี้เข้าด้วยกันจากหัวจรดเท้า เมื่อทราบเช่นนี้ คริชณะทรงทราบวิธีจะสังหารเขา จึงทรงบอกเป็นนัยแก่บีมะเสนะว่า เนื่องจากจะราสันดะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพมาด้วยการประสานสองส่วนของร่างเข้าด้วยกัน เขาจะถูกสังหารก็ด้วยการแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน ดังนั้น คริชณะทรงส่งพลังไปที่ร่างของบีมะเสนะและบอกวิธีว่าจะราสันดะจะถูกสังหารอย่างไร ทรงหยิบก้านไม้มาจากต้นหนึ่งอัน ถือไว้ในมือแล้วแยกมันออกจากกันเป็นสองซีก เช่นนี้แสดงนัยให้บีมะเสนะรู้ว่าจะสังหารจะราสันดะอย่างไร องค์ภควาน คริชณะ ทรงมีพลังอำนาจทั้งหมด หากต้องการสังหารผู้ใด ไม่มีใครสามารถช่วยได้ เช่นเดียวกัน หากพระองค์ทรงต้องการช่วยผู้ใดก็ไม่มีใครสังหารได้
เมื่อได้ข้อมูลจากการส่งสัญญาณของคริชณะ บีมะเสนะคว้าขาทั้งสองของจะราสันดะ แล้วเหวี่ยงเขาให้ลงไปนอนกับพื้นทันที พอจะราสันดะล้มลงบนพื้น ทันใดนั้น บีมะเสนะใช้ขากดขาข้างหนึ่งให้อยู่กับพื้น แล้วใช้สองมือคว้าขาอีกข้างหนึ่ง อยู่ในท่านี้แล้วฉีกร่างให้แยกออกจากกันเป็นสองซีกจากเส้นกลาง เริ่มจากก้นขึ้นไปจนถึงศีรษะ เหมือนกับช้างที่ฉีกก้านไม้ออกเป็นสองซีก เช่นนี้บีมะเสนะได้ฉีกร่างของจะราสันดะ คนดูที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นว่าร่างของจะราสันดะบัดนี้ได้ถูกแยกออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนมีขาข้างหนึ่ง โคนขาข้างหนึ่ง หนึ่งอัณฑะ ครึ่งกระดูกสันหลัง ครึ่งอก หนึ่งกระดูกไหปลาร้า หนึ่งแขน หนึ่งตา หนึ่งหู และครึ่งหน้า
ทันทีที่ข่าวการตายของจะราสันดะแพร่ออกไป ประชาชนชาวมะกะดะทั้งหมดเริ่มร้อง “อนิจจา! อนิจจา!” ในขณะที่คริชณะและอารจุนะโอบกอดบีมะเสนะเพื่อแสดงความยินดี แม้จะราสันดะถูกสังหาร ทั้งคริชณะและพี่น้องพาณดะวะทั้งสอง มิได้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ จุดมุ่งหมายในการสังหารจะราสันดะเพื่อหยุดการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนต่อการสร้างสรรค์สันติภาพในโลก มารสร้างความเดือดร้อนเสมอ ขณะที่เทพพยายามรักษาสันติภาพในโลก ภารกิจของคริชณะเพื่อปกป้องผู้มีคุณธรรมและสังหารมารผู้สร้างความเดือดร้อนให้กับสถานการณ์ที่สงบสุข ดังนั้นคริชณะทรงเรียกโอรสของจะราสันดะ ชื่อ สะหะเดวะมาทันที ทรงรับสั่งให้เขาขึ้นครองราชย์ตามราชประเพณีแทนพระชนกนาถ และปกครองอาณาจักรให้มีความสงบสุข คริชณะทรงเป็นพระเจ้าแห่งการสร้างจักรวาลทั้งหมด พระองค์ทรงปรารถนาให้ทุกคนอยู่กันอย่างสันติสุขและปฏิบัติคริชณะจิตสำนึก หลังจากพิธีราชาภิเษกให้สะหะเดวะขึ้นครองราชย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงปล่อยกษัตริย์และเจ้าชายทั้งหมดที่ถูกจะราสันดะจับคุมขังไว้โดยไม่จำเป็น
ดังนั้น ขอจบคำอธิบายโดยบัคธิเวดันธะ หนังสือ “องค์ภควาน คริชณะ”
บทที่เจ็ดสิบเอ็ด “ความหลุดพ้นของกษัตริย์จะราสันดะ”