บทที่ หนึ่ง
ลักษณะของ
การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์
ใน ชรีมัด-บากะวะธัม ภาคสาม บทที่ยี่สิบเก้า โศลก 12 และ 13 ชรีละ คะพิละเดวะ ขณะที่สอนมารดา ได้ให้ลักษณะของการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ดังนี้ “คุณแม่ที่รัก พวกที่เป็นสาวกผู้บริสุทธิ์ของข้า และไม่มีความปรารถนาผลกำาไรทางวัตถุหรือการคาดคะเนทางปรัชญา จิตใจได้แต่ปฏิบัติรับใช้ข้า ไม่เคยสนใจที่จะขออะไรจากข้า นอกจากขอให้ได้รับใช้ พวกเขาไม่ขอแม้แต่จะมาอยู่ที่พระตำาหนักเดียวกันกับข้า”
มีความหลุดพ้นห้ารูปแบบ เช่น มาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน อยู่กับองค์ภควานที่โลกเดียวกัน มีรูปลักษณ์เหมือนองค์ภควาน รื่นเริงกับความมั่งคั่งเหมือน พระองค์ และอยู่ในฐานะเป็นเพื่อนของพระองค์ สาวกไม่ปรารถนาแม้ความหลุดพ้นห้ารูปแบบนี้ จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องปฏิเสธการสนองประสาทสัมผัสวัตถุ ท่านพึงพอใจด้วยเพียงแต่ได้ปฏิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจรัก นี่คือลักษณะของการอุทิศตนเสียสละที่บริสุทธิ์
จากคำากล่าวของคะพิละเดวะ ใน ชรีมัด-บากะวะธัม ได้อธิบายสถานภาพอันแท้จริงของสาวกผู้บริสุทธิ์ และให้คำานิยามถึงลักษณะพื้นฐานของการอุทิศตนเสียสละรับใช้ รูพะ โกสวามี ได้อธิบายลักษณะการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อ โดยอ้างอิงจากหลักฐานคัมภีร์ต่างๆ ท่านกล่าวว่า มีลักษณะของการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์หกประการดังนี้
- การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์จะปลดเปลื้องความทุกข์ทางวัตถุทั้งหมดได้ทันที
- การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นสิริมงคลทั้งปวง
- การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ทำาให้ได้รับความสุขทิพย์โดยปริยาย
- การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์บรรลุถึงได้ยากมาก
- คนที่อยู่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์หัวเราะเยาะแม้แต่แนวคิดความหลุดพ้น
- การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์เป็นวิธีเดียวที่จะเรียกความสนใจจากคริชณะ
คริชณะมีเสน่ห์สูงสุด แต่การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์มีเสน่ห์ดึงดูดแม้แต่คริชณะ เช่นนี้หมายความว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ยังมีพลังทิพย์แรง กว่าคริชณะ เพราะเป็นพลังเบื้องสูงของพระองค์
ปลดเปลื้องจากความทุกข์ทางวัตถุ
ใน ภควัต-คีตา องค์ภควานตรัสว่าเราควรศิโรราบต่อพระองค์ ยกเลิกการปฎิบัติอื่นๆ ทั้งหมด พระองค์ทรงให้สัญญาว่าจะปกป้องดวงวิญญาณผู้ศิโรราบจากผลบาปทั้งปวง ชรีละ รูพะ โกสวามี กล่าวว่าความทุกข์จากผลบาปเนื่องจากตัวบาปเองและบาปที่ทำาไว้ในชาติก่อนๆ โดยทั่วไปคนทำาบาปเนื่องมาจากอวิชชา แต่ความไม่รู้จะนำามาอ้างเพื่อหลีกเลี่ยงผลแห่งบาปกรรมไม่ได้ ความบาปมีสองประเภท ที่ออกผลและที่ยังไม่ออกผล ความทุกข์ที่เราได้รับกรรมอยู่เรียกว่าออกผลแล้ว ความบาปอีกมากมายที่อยู่ภายในตัวซึ่งยังไม่ได้รับผลกรรมเรียกว่ายังไม่ออกผล ตัวอย่างเช่น บุคคลอาจก่ออาชญากรรมแต่ยังไม่โดนจับ เมื่อสืบรู้ เขาเพียงแต่รอวันที่จะถูกจับ ลักษณะเดียวกัน บาปของเรากำาลังรอรับทุกข์อยู่ในอนาคต และที่เรารับทุกข์อยู่ปัจจุบันคือบาปที่ออกผลแล้ว
เช่นนี้ จะมีการทำาบาปต่อเนื่องเป็นลูกโซ่และมีความทุกข์ติดตามมาด้วยกัน พันธวิญญาณได้รับความทุกข์จากบาปเหล่านี้ชาติแล้วชาติเล่า เขารับทุกข์ในชาตินี้จากผลกรรมในชาติก่อนหน้านี้ ผลบาปแสดงออกมาเมื่อเขาได้รับทุกข์จากโรคเรื้อรัง ได้รับทุกข์จากคดีความ หรือเกิดในครอบครัวต่ำา ไม่ได้รับการศึกษา หรือรูป ร่างหน้าตาอัปลักษณ์มาก
มีผลกรรมในอดีตมากมายที่เรารับทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้ และเราอาจรับทุกข์ในอนาคตจากบาปกรรมปัจจุบัน แต่ผลของบาปกรรมเหล่านี้ทั้งหมดหยุดลงได้ทันทีหากเราปฏิบัติคริชณะจิตสำานึก ได้ให้หลักฐานโดยอ้างจาก ชรีมัด-บากะวะธัม ภาคสิบเอ็ด บทที่สี่ โศลก 19 คริชณะ ตรัสสอนอุดดะวะ ดังนี้ “อุดดะวะ ที่รัก การอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่ข้า เหมือนกับไฟอันร้อนแรงที่สามารถเผาผลาญเชื้อเพลิงทั้งหมดให้เป็นเถ้าถ่าน” ดังนั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานในคริชณะจิตสำานึกสามารถเผาผลาญเชื้อเพลิงแห่งความบาปทั้งหมดได้ ตัวอย่างเช่น ใน ภควัต-คีตาอารจุนะคิดว่าการสู้รบเป็นบาป แต่คริชณะทรงให้อารจุนะต่อสู้ในสนามรบภายใต้คำาสั่งของพระองค์ เช่นนี้ การต่อสู้กลายมาเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้ อารจุนะจึงไม่มาอยู่ภายใต้ผลของบาปกรรม
ชรีละ รูพะ โกสวามี ได้อ้างอีกโศลกหนึ่งจากภาคสามของ ชรีมัด-บากะวะธัม บทที่สามสิบสาม โศลก 6 ซึ่ง เดวะฮูทิ กล่าวกับบุตร คะพิละเดวะ ว่า “องค์ภควานที่รัก มีเก้าวิธีในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เริ่มต้นจากการฟังและการสวดภาวนา ผู้ใดที่ฟังเกี่ยวกับลีลาของพระองค์พูดหรือภาวนาเกี่ยวกับพระบารมีของพระองค์ ถวายความเคารพต่อพระองค์ ระลึกถึงพระองค์ เช่นนี้ เขาปฏิบัติหนึ่งในเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ แม้เกิดในตระกูลคนกินสุนัข (ต่ำาสุดในหมู่มนุษยชาติ) เขามีคุณวุฒิในการทำาพิธีบูชาทันที” เช่นนี้เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำานึกจริงอย่างเต็มที่จะไม่บริสุทธิ์? มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ปฏิบัติอยู่ในคริชณะจิตสำานึกและอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นอิสระจากมลทินบาปแห่งโลกวัตถุโดยไม่ต้องสงสัย ฉะนั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำานาจที่จะทำาให้ผลบาปทั้งปวงเป็นโมฆะได้อย่างแท้จริง สาวกคอยระวังอยู่ตลอดเวลาที่จะไม่ทำาบาป นี่คือคุณสมบัติโดยเฉพาะของสาวก กล่าวว่า จากการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ บุคคลแม้เกิดในตระกูลคนกินสุนัขอาจมีสิทธิ์ทำาพิธีกรรมที่แนะนำาไว้ในพระเวทได้ มีความชัดเจนในข้อความนี้ว่า โดยทั่วไปคนที่เกิดในครอบครัวคนกินสุนัขไม่เหมาะที่จะทำาพิธีบูชา ชนชั้นนักบวชผู้ดูแลการทำาพิธีบูชาที่แนะนำาไว้ใ่นพระเวทอยู่ในวรรณะพราหมณ์ นอกจากจะเป็นพราหมณ์ มิฉะนั้น ไม่สามารถทำาพิธีบูชาได้
คนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์หรือครอบครัวคนกินสุนัขก็เนื่องมาจากกรรมเก่าในอดีต คนที่เกิดในครอบครัวกินสุนัขหมายความว่าชาติก่อนทำาบาปมาก แต่หากบุคคลนี้ปฏิบัติตามวิถีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เริ่มต้นด้วยการสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควาน ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร เขาจะเป็นผู้เหมาะสมในการทำาพิธีบูชาทันที หมายความว่าผลแห่งบาปกรรมของเขาได้ถูกลบล้างไปในบัดดล
ได้กล่าวไว้ใน พัดมะ พุราณะ ว่า มีผลอยู่สี่ประเภทอันเนื่องมาจากการทำาบาป ดังนี้ 1. ผลที่ยังไม่ปรากฎออกมา 2. ผลที่ยังเป็นเมล็ดพันธ์อยู่ 3. ผลที่ปรากฎออกมาแล้ว 4. ผลที่เกือบจะปรากฎออกมา ได้กล่าวไว้ด้วยว่าผลทั้งสี่ประการนี้ถูกลบล้างออกไปหมดสำาหรับผู้ที่ศิโรราบต่อองค์ภควานพระวิชณุ และปฎิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้พระองค์ในคริชณะจิตสำานึกอย่างเต็มที่
ผลที่ว่า “เกือบจะปรากฎออกมา” หมายถึงความทุกข์ที่เรากำาลังได้รับอยู่ในปัจจุบันและผลของ “ยังเป็นเมล็ดพันธ์อยู่” ยังอยู่ที่ขั้วหัวใจซึ่งมีความปรารถนาที่เป็นบาป สต็อกไว้เหมือนกับเมล็ดพันธ์ คำาสันสกฤต คูทัม หมายความว่าเกือบพร้อมที่จะผลิตเป็นเมล็ดพันธ์ หรือผลของเมล็ดพันธ์ “ผลที่ยังไม่ออก” หมายถึงกรณีที่เมล็ดพันธ์ยังไม่เริ่ม ข้อความจาก พัดมะ พุราณะ นี้ เข้าใจได้ว่า มลทินทางวัตถุละเอียดอ่อนมาก จากจุดเริ่มต้น ผลที่ปรากฎออกมา และเราได้รับผลในรูปของความทุกข์นี้ได้อย่างไร เป็นส่วนของโซ่ตรวนพันธนาการอันยิ่งใหญ่ พอเราเป็นโรคเป็นสิ่งยากมากในการหาต้นเหตุ เริ่มมาจากที่ใหน? และปรากฎเป็นผลออกมาได้อย่างไร? อย่างไรก็ดี ความทุกข์จากโรคไม่ได้ปรากฎโดยทันที มันต้องใช้เวลา ดังที่กรมอนามัยทำาเพื่อป้องกัน โดยให้แพทย์ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโต วัคซีนภาคปฎิบัติเพื่อหยุดผลจากเมล็ดพันธ์แห่งบาปกรรมของเราไม่ให้ปรา กฎ คือเพียงแต่ปฏิบัติในคริชณะจิตสำานึก
สัมพันธ์กับตรงนี้ ชุคะเดวะ โกสวามี กล่าวในภาคหก ของ ชรีมัด-บากะวะธัมบทที่สอง โศลก 17 เรื่องราวของ อจามิละ ผู้เริ่มต้นชีวิตเป็นพราหมณ์ปฏิตามหน้าที่อย่างดี แต่พอเป็นหนุ่มได้เสียคนเพราะโสเภณี ในบั้นปลายของชีวิตที่เลวทราม เขาเพียงแต่เปล่งพระนาม “นารายะณะ (คริชณะ)” เขาได้รับการช่วยเหลือไว้แม้ทำาบาปมามากมาย ชุคะเดวะ กล่าวว่า ความสมถะ การให้ทาน และพิธีบูชาต่างๆ เพื่อลดบาปกรรมที่ก่อไว้เป็นวิธีที่ได้แนะนำาไว้ แต่การปฏิบัติเช่นนี้ไม่สามารถขจัดเมล็ดพันธ์ความปราาถนาแห่งบาปภายในหัวใจได้ เหมือนกรณีอจามิละในตอนเป็นหนุ่ม เมล็ดพันธ์ความปรารถนาแห่งบาปสามารถถูกขจัดออกไปได้ด้วยการบรรลุถึงคริช ณะจิตสำานึกเท่านั้น เช่นนี้ บรรลุถึงได้ง่ายมาก ด้วยการร้องเพลงภาวนามหามนต์ หรือบทมนต์ ฮะเร คริชณะ ดังที่ ชรี เชธันญะ มะฮาพระบุำ ทรงแนะนำาไว้ อีกนัยหนึ่ง นอกจากเรารับเอาวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้มาปฏิบัติ มิฉะนั้น จะไม่สามารถสะอาดบริสุทธิ์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จากผลแห่งบาปกรรมทั้งปวงได้
จากการปฏิบัติตามพิธีกรรมพระเวท ด้วยการให้เงินเป็นทาน และปฏิบัติสมถะความเพียร เราสามารถเป็นอิสระจากผลบาปชั่วคราว และต่อมาก็จะกลับไปทำาบาปอีก ตัวอย่างเช่น คนที่ได้รับทุกข์จากกามโรคเนื่องจากชีวิตไปยุ่งกับเรื่องเพศสัมพันธ์มากเกินไป ต้องผ่านการรักษาอย่างเจ็บปวด เพราะไม่สามารถขจัดความต้องการทางเพศจากหัวใจไปได้ กลับไปทำาเหมือนเดิมและเป็นโรคเหมือนเดิมอีก ดังนั้น การรักษาอาจช่วยได้ชั่วครั้งชั่วคราวกับความทุกข์ที่เป็นกามโรค ยกเว้นเมื่อได้รับการฝึกฝนให้เข้าใจว่าชีวิตเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเขาให้ออกจากความทุกข์ซ้ำาซากเช่นนี้ได้ ลักษณะเดียวกัน การทำาพิธีบูชา การให้ทาน และความสมถะที่แนะนำาไว้ในคัมภีร์พระเวทอาจช่วยให้หยุดทำาบาปชั่วคราว แต่ตราบใดที่หัวใจยังไม่ใสสะอาด เขาต้องทำาบาปซ้ำาแล้วซ้ำาอีก
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ให้ไว้ใน ชรีมัด-บากะวะธัม เรื่องช้างที่ลงใปในทะเลสาปอาบน้ำาอย่างจริงจังจนร่างกายสะอาด แต่พอกลับขึ้นมาบนฝั่งก็สาดโคลนไปทั่วตัว เช่นเดียวกันผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนในคริชณะจิตสำานึกจะไม่เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากความปรารถนาในการทำาบาป ทั้งวิธีโยคะ การคาดคะเนทางปรัชญา หรือกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุก็ไม่สามารถช่วยเราจากเมล็ดพันธ์แห่งความปรารถนาบาปได้ ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้นที่จะช่วยได้
มีอีกหลักฐานหนึ่งใน ภาคสี่ของ ชรีมัด-บากะวะธัม บทที่ยี่สิบสอง โศลก 39 สะนัท-คุมาระ กล่าวว่า “กษัตริย์ที่รัก อหังการของมนุษย์แข็งแกร่งมากที่ทำาให้เขาอยู่ในโลกวัตถุประหนึ่งว่าถูกพันธนาการด้วยเชือกที่แข็งแกร่ง สาวกเท่านั้นที่สามารถตัดปมเชือกอันแข็งแกร่งนี้ได้โดยง่ายด้วยการปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำานึก บุคคลอื่นผู้ไม่อยู่ในคริชณะจิตสำานึก แต่พยายามมาเป็นโยคีผู้ยิ่งใหญ่หรือนักทำาพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ ไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนสาวก ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ควรปฏิบัติอยู่ในคริชณะจิตสำานึก เพื่อให้หลุดจากปมอันเหนียวแน่นแห่งอหังการและปฏิบัติในกิจกรรมทางวัตถุ
ปมอันเหนียวแน่นแห่งอหังการนี้เนื่องมาจากอวิชชา ตราบใดที่ยังอยู่ในอวิชชาเกี่ยวกับตนเอง เขาต้องทำาตัวผิดอย่างแน่นอนแล้วก็ถูกพันธนาการด้วยมลทินทางวัตถุ อวิชชาต่อความรู้ที่แท้จริงสามารถขจัดออกไปได้ด้วยคริชณะจิตสำานึกเช่นกัน ได้ยืนยันไว้ใน พัดมะ พุราณะ ดังนี้ “การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ในคริชณะจิตสำานึกเป็นความรู้แจ้งที่สูงสุด เมื่อมีความรู้แจ้งเช่นนี้ เหมือนกับไฟป่าที่โหมมา เผาไหม้ ฆ่าอสรพิษแห่งความปรารถนาที่ไม่เป็นมงคลทั้งหมด” ตัวอย่างที่ให้ไว้ตรงนี้คือ เมื่อมีไฟป่ามันจะพวยพุ่งและฆ่างูทั้งหมดในป่าโดยปริยาย มีงูมากมายบนพื้นดินในป่า เมื่อมีไฟป่ามันจะไปเผาใบไม้แห้งและเข่นฆ่างูทั้งหมดโดยปริยาย สัตว์สี่ขาอาจวิ่งหนีไฟไปได้หรืออย่างน้อยพยายามจะหนี ลักษณะเดียวกัน เปลวไฟแห่งคริชณะจิตสำานึกทรงพลังมาก อสรพิษแห่งอวิชชาจะถูกสังหารทั้งหมดโดยทันที
คริชณะจิตสำานึกเป็นสิริมงคลไปหมด
ชรีละ รูพะ โกสวามี ได้ให้นิยามคำา “สิริมงคล” ว่า สิริมงคลอันที่จริงหมายความว่า กิจกรรมสงเคราะห์ประชากรทั่วทั้งโลก ปัจจุบันนี้มีกลุ่มคนทำากิจกรรมสงเคราะห์สังคม ชุมชน หรือประเทศชาติ และมีความพยายามก่อตั้งสหประชาชาติเพื่อช่วยประชากรทั้งโลก แต่เนื่องจากมีข้อบกพร่องที่มีกิจกรรมระหว่างชาติจำากัด รายการเพื่อสงเคราะห์คนทั้งโลกจึงปฏิบัติไม่ได้ ขบวนการคริช ณะจิตสำานึกดีมากที่สามารถให้ประโยชน์สูงสุดแด่มวลมนุษยชาติ ทุกคนชื่นชอบขบวนการนี้และสามารถเห็นผลได้ ดังนั้น รูพะ โกสวามี และ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ เห็นพ้องต้องกันว่า การเผยแพร่การอุทิศตนเสียสละรับใช้ของขบวนการคริชณะจิตสำานึกไปทั่วโลกเป็นกิจกรรมสงเคราะห์มนุษยชาติที่สูงสุด
ขบวนการคริชณะจิตสำานึกสามารถดึงดูดความสนใจของคนทั่วโลก และทุกคนรู้สึกมีความสุขกับคริชณะจิตสำานึกได้อย่างไรนั้น ได้กล่าวไว้ใน พัดมะ พุราณะดังนี้ “บุคคลผู้ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำานึกอย่างเต็มเปี่ยม เข้าใจว่าเขาเป็นบริกรผู้รับใช้ที่ดีที่สุดให้ทั่วทั้งโลก และทำาให้ทุกคนในโลกชื่นชอบ นอกจากสังคมมนุษย์แล้วเขายังเป็นที่ชื่นชอบของต้นไม้และสัตว์ เพราะขบวนการนี้ดึงดูดพวกนี้ด้วย” ตัวอย่างภาคปฏิบัติองค์เชธันญะทรงแสดงให้เห็นขณะที่เดินทางผ่านป่า จาริคัณดะ ที่ประเทศอินเดียตอนกลางเพื่อเผยแพร่ขบวนการ สังคีรทะนะเสือ ช้าง กวาง และสัตว์ป่าอื่นๆ มาร่วมด้วยกับพระองค์ในวิธีของพวกมัน ด้วยการเต้นรำา และร้องเพลง ฮะเร คริชณะ
ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำานึกด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะพัฒนาคุณสมบัติดีๆ ที่โดยทั่วไปพบในเทวดา ชุคะเดวะ โกสวามี กล่าวในภาคห้า ของ ชรีมัด-บากะวะธัม บทที่สิบแปด โศลก 12 ว่า “กษัตริย์ที่รัก บุคคลผู้มีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ในคริชณะและไม่เสแสร้ง สามารถพัฒนาคุณสมบัติที่ดีทั้งหมดของเทวดา เนื่องจากสาวกมีคริชณะจิตสำานึกในระดับสูงแม้เหล่าเทวดายังอยากมาอยู่ด้วย จึงเข้าใจได้ว่าคุณสมบัติของเทวดาได้พัฒนาอยู่ภายในตัวของสาวก”
อีกด้านหนึ่ง บุคคลผู้ไม่อยู่ในคริชณะจิตสำานึกจะไม่มีคุณสมบัติที่ดี เขาอาจมีการศึกษาสูงในเชิงวิชาการ แต่ในกิจกรรมของสนามจริงจะเห็นว่าเขาเลวทรามกว่าพวกสัตว์ ถึงแม้มีการศึกษาสูงในเชิงวิชาการ หากไม่สามารถข้ามพ้นกิจกรรมระดับจิตใจ เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาทำากิจกรรมในระดับวัตถุเท่านั้น และยังคงความไม่บริสุทธิ์ มีบุคคลมากมายในโลกสมัยปัจจุบันที่มีการศึกษาสูงมากในมหาวิทยาลัยทางวัตถุ แต่ไม่สามารถมาร่วมขบวนการคริชณะจิตสำานึกและพัฒนาคุณสมบัติที่ดีของเทวดาได้
ตัวอย่างเช่น เด็กในคริชณะจิตสำานึกแม้ดูจะไม่มีการศึกษาสูงนักตามมาตรฐานมหาวิทาลัย แต่สามารถเลิกเพศสัมพันธ์ที่ผิด การพนัน การกินเนื้อสัตว์ และยาเสพติดทั้งหมดได้ทันที ขณะที่ผู้ไร้คริชณะจิตสำานึกถึงแม้มีการศึกษาสูงมาก กลับกลายมาเป็นคนขี้เมา กินเนื้อสัตว์ สำาส่อนเรื่องเพศ และเป็นนักพนัน นี่คือข้อพิสูจน์จริงว่าบุคคลในคริชณะจิตสำานึกพัฒนาคุณภาพดีๆ ได้สูงมาก และผู้ไร้คริชณะจิตสำานึกทำาไม่ได้ เรามีประสบการณ์แม้เด็กหนุ่มในคริชณะจิตสำานึกยังไม่ยึดติดกับการดูหนัง เที่ยวไน้ท์คลับ ดูระบำาโป้ ไปภัตตาคาร ไปร้านขายเหล้า ฯลฯ เขาสามารถยกเลิกสิ่งเหล่านี้โดยสมบูรณ์ เขาประหยัดเวลาที่ใช้ไปกับการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดูหนัง และเต้นรำาอย่างไร้สาระ
โดยทั่วไป ผู้ที่ไม่มีคริชณะจิตสำานึกไม่สามารถนั่งนิ่งๆ แม้แต่ครึ่งชั่วโมง ระบบโยคะสอนว่าหากเรานิ่งสงบจะรู้แจ้งว่าเราเป็นพระเจ้า เช่นนี้อาจดีสำาหรับนักวัตถุนิยม แต่ว่าจะสามารถนิ่งเงียบได้นานเท่าไร? พวกเขาอาจนั่งแบบผิดธรรมชาติที่เรียกว่าการทำาสมาธิ แต่หลังจากเสร็จพิธีกรรมโยคะก็จะไปทำากิจกรรมเช่น มั่วเรื่องเพศ การพนัน กินเนื้อสัตว์ และที่ไร้สาระอื่นๆ อีกโดยทันที แต่บุคคลในคริชณะจิตสำานึกค่อยๆ พัฒนาตนเองโดยไม่ต้องพยายามมากเหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าสมาธิเงียบ เพียงแต่ปฏิบัติในคริชณะจิตสำานึกเขาจะยกเลิกสิ่งไร้สาระเหล่านี้ได้ทั้งหมดและพัฒนาบุคลิกที่สูง บุคคลสามารถพัฒนาบุคลิกที่สูงสุดด้วยการมาเป็นสาวกผู้บริสุทธิ์ของคริชณะ ข้อสรุปคือไม่มีผู้ใดสามารถมีคุณสมบัติที่ดีโดยแท้จริงหากไร้ซึ่ง คริชณะจิตสำานึก
ความสุขในคริชณะจิตสำานึก
ชรีละ รูพะ โกสวามี ได้วิเคราะห์แหล่งแห่งความสุขต่างๆ แบ่งออกเป็นสามประเภทคือ 1. ความสุขที่ได้รับจากการรื่นเริงทางวัตถุ 2. ความสุขที่ได้รับจากการสำาคัญตนเองกับ บระฮมัน สูงสุด 3. ความสุขที่ได้รับจากคริชณะจิตสำานึก
ใน ทันทระ-ชาสทระ พระศิวะตรัสกับพระมเหสี สะที ว่า “ภรรยาที่รัก บุคคลผู้ศิโรราบที่พระบาทรูปดอกบัวของโกวินดะ และพัฒนาคริชณะจิตสำานึกที่บริสุทธิ์สามารถได้รับรางวัลความสมบูรณ์ทั้งหมดที่ผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์จะได้รับโดยง่ายดาย นอกจากนี้ เขายังรื่นเริงกับความสุขที่สาวกผู้บริสุทธิ์ได้รับ”
ความสุขที่ได้รับจากการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์นั้นสูงสุด เพราะเป็นอมตะ ความสุขที่ได้รับจากความสมบูรณ์ทางวัตถุหรือเข้าใจว่าตนเองเป็น บระฮมันนั้นต่ำากว่า เพราะว่าไม่ถาวร ไม่มีวิธีป้องกันที่จะไม่ให้ตกลงจากความสุขทางวัตถุ และมีโอกาสมากที่จะตกลงจากความสุขทิพย์ที่สำาคัญตนเองกับ บระฮมัน อันไร้รูปลักษณ์
จะเห็นว่า มายาวาดี (ผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์) สันนยาสี ผู้ยิ่งใหญ่ มีความรู้มาก เกือบเป็นดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งตนเอง บางครั้งลงไปยุ่งกับการเมืองหรือกิจกรรมเพื่อสังคมสงเคราะห์ เหตุผลคือ อันที่จริงพวกเขาไม่ได้รับความสุขทิพย์สูงสุดในการเข้าใจสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ จึงต้องลงมาในระดับวัตถุทำากิจกรรมทางโลกเช่นนี้ มีตัวอย่างมากมายโดยเฉพาะที่ประเทศอินเดียซึ่ง มายาวาดี สันนยาสี เหล่านี้ตกลงมาอยู่ในระดับวัตถุอีกครั้ง แต่บุคคลผู้อยู่ในคริชณะจิตสำานึกโดยสมบูรณ์จะไม่กลับมาอยู่ในระดับวัตถุไม่ว่าในรูปแบบใด ไม่ว่าจะมีเสน่ห์ยั่วยวนแค่ไหน เขารู้เสมอว่า ไม่มีกิจกรรมสงเคราะห์ทางวัตถุใดๆ จะเปรียบเทียบกับกิจกรรมทิพย์แห่งคริชณะจิตสำานึกได้
โยคีผู้ประสบความสำาเร็จในอิทธิฤทธิ์อันเร้นลับที่แท้จริง มีแปดอย่าง อณิมา-สิดดิ เป็นฤทธิ์ที่สามารถทำาตัวให้เล็กจนเข้าไปในหินได้ การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถทำาให้เราเข้าไปในหินได้โดยขุดเจาะทางใต้ดินจนทะลุภูเขา ฯลฯ ดังนั้น อิทธิฤทธิ์ อณิมา-สิดดิ ที่พยายามเข้าไปในหิน วิทยาศาสตร์ทางวัตถุก็สามารถทำาได้เช่นกัน ลักษณะเดียวกัน โยกะ-สิดดิ หรืออิทธิฤทธิ์โยคะทั้งหมดเป็นศิลปะทางวัตถุ ตัวอย่างเช่น โยกะ-สิดดิ อย่างหนึ่งชึ่งมีฤทธิ์ทำาให้ตัวเบาจนลอยในอากาศหรือลอยอยู่บนน้ำาได้ เช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ทำาได้ พวกเขาสามารถบินอยู่ในอากาศ ลอยอยู่บนผิวน้ำา และเดินทางอยู่ในใต้น้ำา
หลังจากเปรียบเทียบอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของ โยกะ-สิดดิ กับความสมบูรณ์ทางวัตถุ เราพบว่านักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุก็พยายามเพื่อความสมบูรณ์แบบเดียวกัน อันที่จริงไม่มีข้อแตกต่างระหว่างความสมบูรณ์ทางอิทธิฤทธิ์และความสมบูรณ์ทางวัตถุ ครั้งหนึ่ง นักวิชาการชาวเยอรมันกล่าวว่า ที่เรียกว่าความสมบูรณ์ทางโยคะ นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันบรรลุถึงเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้เท่าใดนัก ท่านไปอินเดียอย่างฉลาดเพื่อเรียนรู้ว่าจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับองค์ภควานด้วยวิถีทาง ภักดี-โยคะ หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าในบรรดาอิทธิฤทธิ์ทั้งหลายมีบางอย่างที่วิทยาศาสตร์ทางวัตถุยังพัฒนาไปไม่ถึง ตัวอย่างเช่น โยคีผู้มีฤทธิ์สามารถเข้าไปในดวงอาทิตย์ด้วยการใช้รัศมีของแสงอาทิตย์ อิทธิฤทธิ์นี้เรียกว่า ลักฮิมา ลักษณะเดียวกัน โยคีสามารถใช้นิ้วไปแตะดวงจันทร์ ถึงแม้นักบินอวกาศปัจจุบันสามารถไปถึงดวงจันทร์โดยใช้จรวด ซึ่งลำาบากมาก ขณะที่โยคีผู้มีฤทธิ์สามารถยื่นแขนออกไปแล้วใช้นิ้วแตะดวงจันทร์ อิทธิฤทธิ์นี้เรียกว่า พราพทิ หรือการได้มา ด้วยอิทธิฤทธิ์ พราพทิ โยคีไม่เพียงไปแตะดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังสามารถยื่นมือไปที่ใหนก็ได้และหยิบอะไรมาก็ได้ตามที่ใจปรารถนา เขาอาจนั่งห่างออกไปเป็นพันๆ ไมล์ หากปรารถนาเขาสามารถหยิบผลไม้ในสวนมาได้ นี่คืออิทธิฤทธิ์ พราพทิ
นักวิทยาศาสตร์ได้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำาลายล้างส่วนที่ไม่สำาคัญของโลกใบนี้ได้ แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์โยคะชื่อ อีชิทา บุคคลสามารถสร้างและทำาลายโลกทั้งใบได้เพียงแต่ใจปรารถนา อิทธิฤทธิ์อีกอย่างเรียกว่า วะชีทา บุคคลสามารถควบคุมผู้ใดก็ได้ เหมือนกับการสะกดจิตซึ่งเกือบจะทัดทานไม่ได้เลย บางครั้งพบว่าโยคีมีฤทธิ์ วะชีทา เพียงเล็กน้อย มาร่วมอยู่กับหมู่คนและพูดจาไร้สาระต่าง ๆ เสร็จแล้วสะกดจิตพวกเขา ฉวยโอกาส และหลอกเอาเงินไป
มีอิทธิฤทธิ์อีกอย่างเรียกว่า พราคามยะ (มายากล) ด้วยฤทธิ์ พราคามยะนี้ บุคคลสามารถบรรลุสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา เช่น สามรถดื่มน้ำาทางตาได้ แล้วก็คลายออกมาทางตาได้ด้วย ด้วยเพียงแต่ปรารถนาเขาสามารถทำาสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ได้
พลังอิทธิฤทธิ์สูงสุดนี้เรียกว่า คามาวะสายิทา นี่ก็เป็นมายากลเช่นกัน ขณะที่ฤทธิ์ พราคามยะ แสดงอยู่ในขอบเขตของธรรมชาติ ฤทธิ์ คามาวะสายิทา อนุญาตให้ทำาขัดกับธรรมชาติหรือทำาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าบุคคลผู้มีอิทธิฤทธิ์โยคะทางวัตถุนี้จะได้รับความสุขชั่วคราวมากพอสมควร
พวกที่หลงแสงสีแห่งความเจริญทางวัตถุในปัจจุบันคิดอย่างโง่ๆ ว่า ขบวนการคริชณะจิตสำานึกมีไว้สำาหรับผู้ด้อยปัญญา โดยคิดว่า “ข้ารู้สึกดีกว่าที่มายุ่งอยู่กับความสะดวกสบายทางวัตถุ มีอพาทเม้นท์ดีๆ อยู่กับครอบครัว และมีชีวิตเพศสัมพันธ์” พวกนี้ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกเขี่ยออกจากสภาวะทางวัตถุเช่นนี้เมื่อไรก็ได้ เนื่องด้วยอวิชชาจึงไม่รู้ว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอมตะ ความสะดวกสบายชั่วคราวทางร่างกายไม่ใช่จุดมุ่งหมายของชีวิต เนื่องด้วยอวิชชาที่มืดสนิทเท่านั้นที่ทำาให้คนไปหลงใหลกับแสงสีความเจริญแห่งความสะดวกทางวัตถุ ชรีละ บัคธิวิโนดะ ทาคุระ กล่าวว่าการเจริญก้าวหน้าในความรู้ทางวัตถุทำาให้คนโง่มากยิ่งขึ้น เพราะทำาให้ลืมตัวตนที่แท้จริงด้วยแสงสีของมัน นี่คือเคราะห์กรรม เพราะชีวิตในร่างมนุษย์หมายไว้เพื่อให้ออกจากมลทินทางวัตถุ จากความเจริญในความรู้ทางวัตถุผู้คนถูกพันธนาการมากยิ่งขึ้นในความเป็นอยู่ทางวัตถุ พวกนี้สิ้นหวังที่จะหลุดพ้นจากความหายนะนี้ไปได้
ใน ฮะริ-บัคธิ-สุโดดะยะ กล่าวว่า สาวกชั้นเยี่ยมขององค์ภควาน พระฮลาดะ มะฮาราจะ ภาวนาแด่ นริสิมฮะเดวะ (อวตารครึ่งสิงโตครึ่งคน) ว่า “องค์ภควานที่รัก ข้าพเจ้าสวดมนต์ภาวนาแด่พระบาทรูปดอกบัวของพระองค์ซ้ำาแล้วซ้ำาอีกว่า ขอให้ข้าพเจ้าแน่วแน่มากยิ่งขึ้นในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ขอภาวนาให้คริชณะจิตสำานึกของข้าแน่วแน่และมั่นคงมากยิ่งขึ้น เพราะความสุขที่ได้รับจากคริชณะจิตสำานึกและการอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำานาจมากจนเราสามารถได้รับความสมบูรณ์ทั้งหมด จากการปฏิบัติศาสนา การพัฒนาเศรษฐกิจ การสนองประสาทสัมผัส และแม้แต่บรรลุถึงความหลุดพ้นจากความเป็นอยู่ทางวัตถุ”
อันที่จริง สาวกผู้บริสุทธิ์ไม่มีความปรารถนากับความสมบูรณ์เหล่านี้ เพราะความสุขที่ได้รับจากการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำานึกนั้นเป็นทิพย์และไร้ขอบเขตจนกระทั่งไม่มีความสุขใดมาเปรียบเทียบได้ กล่าวไว้ว่า แม้ความสุขใน คริชณะจิตสำานึกเพียงหยดเดียวยังอยู่เหนือการเปรียบเทียบกับมหาสมุทรแห่งความสุขที่ได้รับจากกิจกรรมอย่างอื่น ดังนั้น ผู้ใดที่พัฒนาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์แม้เพียงนิดเดียว สามารถเขี่ยความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติศาสนา พัฒนาเศรษฐกิจ สนองประสาทสัมผัส และความหลุดพ้น ให้ออกไปได้อย่างง่ายดาย
มีสาวกชั้นเยี่ยมขององค์เชธันญะชื่อ โคลาเวชา ชรีดะระ ท่านยากจนมากทำาธุรกิจขายถ้วยใบตอง แม้รายได้เพียงน้อยนิดท่านยังนำาห้าสิบเปอร์เซ็นต์มาบูชาพระแม่คงคา และเลี้ยงชีพจากเงินที่เหลือ ครั้งหนึ่ง องค์เชธันญะทรงเปิดเผยพระองค์ให้สาวก โคลาเวชา ชรีดะระ ที่วางใจได้ท่านนี้ และเสนอความมั่งคั่งให้ตามที่ท่านปรารถนา แต่ ชรีดะระ บอกว่าไม่ต้องการความมั่งคั่งทางวัตถุใด ๆ ท่านมีความสุขพอสมควรกับสถานภาพปัจจุบัน เพียงแต่ปรารถนาจะมีความศรัทธาอย่างมั่นคงและอุทิศตนอยู่เบื้องพระบาทรูปดอกบัวขององค์เชธันญะ นี่คือสถานภาพของสาวกผู้บริสุทธิ์ หากสามารถอุทิศตนเสียสละรับใช้วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงจะไม่ต้องการอะไรอีก ไม่ต้องการแม้แต่ความสุขแห่งความหลุดพ้น หรือมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน
ใน นาระดะ-พันชะราทระ กล่าวว่า ผู้ใดที่พัฒนาการอุทิศตนเสียสละรับใช้แม้เพียงนิดเดียว จะไม่สนใจกับความสุขใด ๆ ที่ได้รับจากการปฏิบัติศาสนา พัฒนาเศรษฐกิจ สนองประสาทสัมผัส หรือความหลุดพ้นทั้งห้าอย่าง ความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติศาสนา พัฒนาเศรษฐกิจ สนองประสาทสัมผัส หรือความหลุดพ้น ไม่กล้าเข้าไปในหัวใจของสาวกผู้บริสุทธิ์ กล่าวว่า เหมือนกับสนมรับใช้ของพระราชินีจะติดตามพระราชินีด้วยความเคารพตลอดเวลา เช่นเดียวกัน ความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติศาสนา พัฒนาเศรษฐกิจ สนองประสาทสัมผัส หรือความหลุดพ้น จะติดตามการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควาน อีกนัยหนึ่ง สาวกผู้บริสุทธิ์จะไม่ขาดแคลนความสุขที่ได้รับจากแหล่งอื่น ท่านไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการรับใช้คริชณะ แต่หากมีความปรารถนาอย่างอื่นองค์ภควานจะทรงสนองตอบโดยสาวกไม่ต้องขอ
การอุทิศตนเสียสละรับใช้หาได้ยาก
ในช่วงเริ่มแรกของชีวิตทิพย์จะมีการปฏิบัติสมถะและความเพียรต่างๆ นานา และกรรมวิธีคล้ายกันนี้เพื่อบรรลุถึงความรู้แจ้งแห่งตน อย่างไรก็ดี ถึงแม้การปฏิบัติ เหล่านี้จะไม่มีความปราถนาทางวัตถุ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ความใฝ่ฝันของตัวเราเพียงฝ่ายเดียวที่จะบรรลุถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ไม่ช่วยเท่าไรนัก เพราะคริชณะทรงไม่ตกลงที่จะมอบการอุทิศตนเสียสละรับใช้ให้กับผู้ใด คริชณะทรงสามารถให้ความสุขทางวัตถุหรือแม้แต่ความหลุดพ้นได้อย่างง่ายดาย แต่จะไม่ตกลงให้บุคคลปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ง่ายดายนัก อันที่จริง การอุทิศตนเสียสละรับใช้บรรลุได้ด้วยพระเมตตาของสาวกผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ใน เชธันญะ ชะริทามริทะ (มัดยะ 19.151) กล่าวว่า “ด้วยพระเมตตาของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เป็นสาวกบริสุทธิ์ และด้วยพระเมตตาของคริชณะทำาให้เราสามารถมาถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ไม่มีวิธีอื่น”
ความหาได้ยากแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ยังได้ยืนยันไว้ใน ทันทระ-ชาสทระ พระศิวะตรัสกับ สะที ว่า “สะทีที่รัก หากบุคคลเป็นนักปราชญ์ที่เก่งมาก สามารถวิเคราะห์วิชาความรู้แขนงต่างๆ เขาจะบรรลุถึงความหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ ด้วยการปฏิบัติพิธีบูชาที่แนะนำาไว้ในคัมภีร์พระเวท สามารถพัฒนามาถึงระดับที่มีบุญญาธิการมากจนหาความสุขกับความสะดวกสบายทางวัตถุได้อย่างเต็มที่ในชีวิต แต่ความพยายามทั้งหมดนี้มิได้เสนอการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานแด่ผู้ใด แม้จะพยายามด้วยวิธีนี้เป็นเวลาหลายต่อหลายพันชาติ”
ใน ชรีมัด-บากะวะธัม พระฮลาดะ มะฮาราจะ ได้ยืนยันไว้ว่า ด้วยความพยายามส่วนตัวหรือด้วยคำาสั่งสอนของผู้มีอำานาจเหนือกว่า เราไม่สามารถบรรลุถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เราต้องได้รับพรจากละอองธุลีพระบาทรูปดอกบัวของสาวกบริสุทธิ์ผู้ที่เป็นอิสระจากมลทินแห่งความปรารถทางวัตถุทั้งปวง
ในภาคห้าของ ชรีมัด-บากะวะธัม บทที่หก โศลก 18 ชุคะเดวะ โกสวามี กล่าวกับ มะฮาราจะ พะรีคชิท ว่า “กษัตริย์ที่รัก องค์ภควานคริชณะทรงพระนามว่า มุคุนดะ ทรงเป็นผู้ปกป้องพานดะวะและยะดุนิรันดร เป็นพระอาจารย์ทิพย์และสั่งสอนพระองค์ทุกอย่าง เป็นองค์ภควานเพียงองค์เดียวที่พระองค์ควรบูชา ทรงเป็นผู้น่ารักและน่าเอ็นดูยิ่ง และเป็นผู้กำากับกิจกรรมทั้งหมดของพระองค์ ทั้งส่วนตัวและส่วนครอบครัว บางครั้ง คริชณะรับคำาสั่งจากพระองค์ประหนึ่งเป็นคนส่งสาส์น กษัตริย์ที่รัก พระองค์โชคดีมาก สิ่งดีๆ ทั้งหมดนี้ที่องค์ภควานประทานแด่พระองค์ บุคคลอื่นยังไม่กล้าที่จะฝันถึง” คำาอธิบายโศลกนี้คือ องค์ภควานทรงให้ความหลุดพ้นได้อย่างง่ายดาย แต่ยากที่จะให้การอุทิศตนเสียสละแด่ดวงวิญญาณ เพราะจากการอุทิศตนเสียสละรับใช้ องค์ภควานทรงถูกสาวกซื้อตัวไป
ความสุขที่กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน
ชรีละ รูพะ โกสวามี กล่าวว่า หาก บระฮมานันดะ หรือความสุขที่มาเป็นหนึ่ง เดียวกับองค์ภควานคูณด้วยหนึ่งล้านล้าน ยังเปรียบเทียบกับส่วนเพียงนิดเดียวแห่งความสุขที่ได้รับจากมหาสมุทรแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ไม่ได้
ใน ฮะริ-บัคธิ-สุโดดะยะ, พระฮลาดะ มะฮาราจะ ขณะที่ทำาให้ องค์นริสิมฮ เดวะ ทรงพอพระทัย กล่าวด้วยบทมนต์ว่า “เจ้าแห่งจักรวาลที่รัก จากการปรากฏของพระองค์ทำาให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขทิพย์และกลืนเข้าไปในมหาสมุทรแห่งความสุข บัดนี้ ข้าคิดว่าความสุข บระฮมานันดะ นั้นไม่มากไปกว่าน้ำาที่อยู่ในรอยเท้าวัวบนโลก เมื่อเปรียบเทียบกับมหาสมุทรแห่งความปลื้มปีติสุข” ได้ยืนยันไว้ใน บาวารทะ-ดีพิคา เช่นกัน โดย ชรีดะระ สวามี ให้คำาอธิบาย ชรีมัด-บากะวะธัม ว่า “องค์ภควานที่รัก ผู้โชคดีบางคนที่แหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรน้ำาทิพย์แห่งการอุทิศตนเสียสละ และได้รับรสน้ำาทิพย์แห่งเรื่องราวลีลาของพระองค์ แน่นอนว่าจะรู้ถึงความปลื้มปีติสุข ทำาให้คุณค่าแห่งความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติศาสนา พัฒนาเศรษฐกิจ การสนองประสาทสัมผัส และความหลุดพ้น หดหายไปในทันที สาวกทิพย์ผู้นี้พิจารณาว่าความสุขใดๆ นอกจากการอุทิศตนเสียสละรับใช้ไม่ดีไปกว่าใบหญ้าบนถนน”
ดึงดูดคริชณะ
ชรีละ รูพะ โกสวามี กล่าวว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้ดึงดูดแม้กระทั่ง คริชณะ คริชณะดึงดูดทุกคน แต่การอุทิศตนเสียสละรับใช้ดึงดูดคริชณะ สัญลักษณ์ของการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในระดับสูงสุดคือ ราดาราณี คริชณะถูกเรียกว่า มะดะนะ-โมฮะนะ หมายความว่าทรงมีเสน่ห์ดึงดูดที่ชนะเสน่ห์ดึงดูดของกามเทพเป็นพัน ๆ องค์ แต่ ราดาราณี มีเสน่ห์ดึงดูดมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะนางสามารถดึงดูดแม้กระทั่งคริชณะ ดังนั้น สาวกเรียกราดาราณีว่า มะดะนะ-โมฮะนะ-โมฮินี ผู้มีเสน่ห์ดึงดูดแม้ผู้มีเสน่ห์ดึงดูดกามเทพ
ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้หมายถึงการปฏิบัติตามรอยพระบาทของ ราดาราณี สาวกที่วรินดาวะนะอยู่ภายใต้การดูแลของราดาราณีเพื่อบรรลุถึงความสมบูรณ์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ อีกนัยหนึ่ง การอุทิศตนเสียสละรับใช้ไม่ใช่เป็นกิจกรรมในโลกวัตถุ แต่อยู่ภายใต้การดูแลโดยตรงของราดาราณี ได้ยืนยันไว้ใน ภควัต-คีตา ว่า มะฮาทมา หรือดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่อยู่ภายใต้การปกป้องของ ไดวี พระคริทิ พลังงานเบื้องสูง ราดาราณี ฉะนั้น ในฐานะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังงานเบื้องสูงของคริชณะ การอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงดึงดูดแม้แต่องค์ คริชณะเอง
คริชณะทรงยืนยันสนับสนุนความจริงนี้ใน ภาคสิบเอ็ดของ ชรีมัด-บากะวะธัมบทที่สิบสี่ โศลก 20 โดยตรัสว่า “อุดะวะ ที่รัก เธออาจรู้จากข้าว่า แรงเสน่ห์ดึงดูดที่ข้ารู้สึกเมื่อสาวกอุทิศตนเสียสละถวายการรับใช้ต่อข้า แม้แต่โยคีผู้พัฒนาอิทธิฤทธิ์ นักปราชญ์ผู้คาดคะเน ผู้ทำาพิธีบูชา นักศึกษาคัมภีร์ เวดานธะ นักปฏิบัติสมถะความเพียร หรือคนใจบุญที่ให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่สามารถบรรลุได้ถึง แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ดีมาก แต่ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจข้าเมื่อเทียบกับการอุทิศตนเสียสละทิพย์ที่สาวกถวายรับใช้ด้วยใจรัก”
การอุทิศตนเสียสละรับใช้ของสาวกมีเสน่ห์ดึงดูดคริชณะได้อย่างไรนั้น นาระดะ ได้อธิบายไว้ใน ชรีมัด-บากะวะธัม ภาคเจ็ด บทที่สิบ โศลก 48 และ 49 นาระดะ กล่าวกับกษัตริย์ ยุดิชทิระ ขณะที่พระองค์ทรงชื่นชมพระบารมีของ พระฮลาดะ มะฮาราจะ สาวกจะชื่นชมกิจกรรมของสาวกรูปอื่นเสมอ ยุดิชทิระ ทรงชื่นชมคุณสมบัติของพระฮลาดะ นี่คือหนึ่งในลักษณะอาการของสาวกผู้บริสุทธิ์ สาวกผู้บริสุทธิ์ไม่เคยคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ แต่จะคิดว่าสาวกรูปอื่นดีกว่าตนเองเสมอ ยุดิชทิระ ทรงคิดว่า “พระฮลาดะ มะฮาราจะ เป็นสาวกที่แท้จริงขององค์ภควาน ส่วนตัวข้าไม่ได้เรื่อง” ขณะคิดเช่นนี้ นาระดะ กล่าวว่า “กษัตริย์ ยุดิชทิระ ที่รัก พระองค์ (พี่น้องพานดะวะ) เป็นผู้เดียวที่โชคดีในโลก องค์ภควานทรงปรากฎบนโลกนี้และแสดงตนว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา ทรงอยู่กับพระองค์เสมอ ทรงพำานักอยู่กับพระองค์โดยที่ไม่มีใครเห็น คนอื่นไม่สามารถเข้าใจว่าคริชณะคือองค์ภควาน แต่ทรงอยู่กับพระองค์ในฐานะญาติ ฐานะเพื่อน แม้แต่ฐานะคนส่งสาส์น ฉะนั้น ทรงรู้ด้วยว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ใดโชคดีไปกว่าพระองค์”
ใน ภควัต-คีตา ขณะที่คริชณะแสดงรูปลักษณ์จักรวาล อารจุนะทรงถวายบทมนต์ดังนี้ “คริชณะที่รัก ข้าคิดว่าพระองค์ทรงเป็นญาติพี่น้อง จึงแสดงความไม่เคารพในหลายๆ ทาง เรียกพระองค์ว่า ่คริชณะ ่ หรือ ่เพื่อน ่ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จนข้าไม่เข้าใจ” นั่นคือสถานภาพของ พานดะวะ ถึงแม้คริชณะทรงเป็นองค์ภควาน บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระองค์ประทับอยู่กับพวกพานดะวะ ด้วยเสน่ห์แรงดึงดูดแห่งการอุทิศตนเสียสละ มิตรภาพ และความรักของพวกเขา นี่คือข้อพิศูจน์ว่าวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ยิ่งใหญ่อย่างไร จนสามารถดึงดูดแม้แต่องค์ภควาน องค์ภควานทรงยิ่งใหญ่ แต่การอุทิศตนเสียสละรับใช้ยิ่งใหญ่กว่า เพราะสามารถดึงดูดพระองค์ คนที่ไม่อยู่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะไม่มีวันเข้าใจว่า การถวายการรับใช้แด่องค์ภควานมีคุณค่ายิ่งใหญ่เพียงใด