ด้วยบุญบารมีแห่งจิตสำนึกทิพย์จากชาติปางก่อน จิตใจของเขาจะชื่นชอบหลักธรรมของโยคะโดยปริยาย ถึงแม้จะไม่ได้แสวงหา นักทิพย์นิยมที่ชอบถามผู้นี้จะยืนอยู่เหนือหลักพิธีกรรมของพระคัมภีร์เสมอ
โยคีผู้ที่เจริญแล้วจะไม่ติดใจอยู่กับพิธีกรรมของพระคัมภีร์ แต่จะชื่นชอบหลักธรรมของโยคะโดยปริยายซึ่งสามารถพัฒนาให้ไปถึงกฺฤษฺณจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ หรือความสมบูรณ์สูงสุดแห่งโยคะ ใน ศฺรีมทฺ-ภาควตมฺ (3.33.7) การที่นักทิพย์นิยมผู้เจริญแล้วไม่สนใจพิธีกรรมทางพระเวทได้อธิบายไว้ดังนี้
อโห พต ศฺว-ปโจ ’โต ครียานฺ
ยชฺ-ชิหฺวาเคฺร วรฺตเต นาม ตุภฺยมฺ
เตปุสฺ ตปสฺ เต ชุหุวุห์ สสฺนุรฺ อารฺยา
พฺรหฺมานูจุรฺ นาม คฺฤณนฺติ เย เต
“โอ้ องค์ภควานฺที่รัก บุคคลผู้สวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์แม้จะเกิดในตระกูลคนกินสุนัขก็มีความเจริญในชีวิตทิพย์มาก ผู้ที่สวดภาวนาเช่นนี้ได้ปฏิบัติความสมถะและการบูชาทุกชนิดโดยไม่ต้องสงสัย ได้อาบน้ำในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่ง และได้เสร็จสิ้นการศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมดแล้ว”
องค์ ศฺรี ไจตนฺย ทรงให้ตัวอย่างสาวกที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ไว้ด้วยการยอมรับ ฐากุร หริทาส ว่าเป็นหนึ่งในสาวกที่สำคัญที่สุดของพระองค์ ถึงแม้ ฐากุร หริทาส ได้เกิดในตระกูลมุสลิมแต่ได้พัฒนามาจนองค์ ศฺรี ไจตนฺย ทรงให้ฉายาว่า นามาจารฺย เนื่องจาก ฐากุร หริทาส รับเอาหลักการสวดภาวนาอย่างเคร่งครัดถึงสามแสนพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควานฺทุกวัน หเร กฺฤษฺณ หเร กฺฤษฺณ กฺฤษฺณ กฺฤษฺณ หเร หเร หเร ราม หเร ราม ราม ราม หเร หเร ท่านสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่เสมอ เข้าใจว่าในอดีตชาติท่านต้องผ่านการปฏิบัติตามพิธีกรรมของพระเวททั้งหลายที่เรียกว่า ศพฺท-พฺรหฺม ดังนั้นนอกจากจะมีความบริสุทธิ์ มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถรับหลักธรรมของกฺฤษฺณจิตสำนึก หรือปฏิบัติการสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควานฺ หเร กฺฤษฺณ ได้